เมื่อเอ่ยถึงวันศุกร์ 13 นั้นหลาย ๆ คนอาจจะนึกไปถึงวันแห่งอาถรรพ์ เพราะเคยมีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งใช้ชื่อว่า ศุกร์ 13 ฝันหวาน แต่เป็นภาพยนตร์สยองขวัญ ในขณะที่อีกหลาย ๆ คนอาจจะยังไม่ทราบความเป็นมาว่า ทำไมวันศุกร์ 13 ถึงเป็นวันที่ไม่ดี
ว่ากันว่าความเชื่อที่ว่าถ้าวันศุกร์เกิดไปตรงกับวันที่ 13 ของเดือนใดก็ตามแล้ว จะกลายเป็นวันแห่งความโชคร้ายนั้นเป็นความเชื่อของชาวตะวันตก โดยต้นตอแห่งความเชื่อนี้มาจาก อาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู (The Last Supper) โดยเชื่อกันว่าในอาหารมื้อนั้นมีผู้ร่วมรับประทานอาหารกับพระองค์ 13 คนก่อนที่พระองค์จะถูกนำตัวไปตรึงบนไม้กางเขนใน วันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday)
ในขณะที่มีอีกความเชื่อหนึ่งกล่าวว่าวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 1307 เป็นวันที่พระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ทำการจับกุมตัวบรรดาอัศวินเทมพลาร์ชาวฝรั่งเศสจำนวนหลายร้อยคนไป ก่อนจะนำตัวไปทรมานและสังหาร เพื่อนำทรัพย์สินของพวกเขามาเป็นของฝรั่งเศส
ทั้งนี้นักจิตวิทยาพบว่า ในบางคนจะมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุหรือล้มป่วยในวันศุกร์ที่ 13 ซึ่งมีการให้เหตุผลเอาไว้ว่าเป็นเพราะบางคนรู้สึกวิตกจริตเป็นอย่างมากในวันศุกร์ที่ 13 โดยทางศูนย์จัดการความเครียดและสถาบันอาบำบัดการกลัวในเมืองแอชวิลล์ มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา ประเมินว่าในแต่ละครั้งที่มีวันศุกร์ที่ 13 สหรัฐอเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงิน 800 - 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทีเดียว เพราะว่าประชาชนบางคนไม่กล้าเดินทางไปไหนและไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน
จนทำให้เกิดโรคกลัววันศุกร์ที่ 13 มีชื่อเรียกว่า Paraskavedekatriaphobia หรือ paraskevidekatriaphobia หรือfriggatriskaidekaphobia ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของโรค triskaidekaphobia คือ โรคกลัวหมายเลข 13
และที่มาที่ทำให้วันศุกร์ 13 กลายเป็นวันโชคร้ายไปทั่วนั้นน่าจะมาจากภาพยนตร์สยองขวัญอย่าง ศุกร์ 13 ฝันหวาน หรือ "Friday the 13th" ซึ่งเรื่องเกี่ยวกับฆากรต่อเนื่องในสหรัฐอเมริกา ซึ่งตัวเอกของเรื่องมีเอกลักษณ์เด่นคือการสวมหน้ากากฮ็อกกี้ เพื่อปกปิดใบหน้า ก่อนทำการฆาตกรรมเหยื่อ
สำหรับความเชื่อเรื่อง ศุกร์ 13 เป็นวันไม่ดีนั้นส่วนใหญ่จะเชื่อกันในหมู่ชาวตะวันตกเสียเป็นส่วนมาก ซึ่งเรื่องแบบนี้นั้นถือเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคลค่ะ
วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553
บั้งไฟพญานาค
นักท่องเที่ยวทุกสารทิศ ต่างมุ่งหน้าไปยังจังหวัดหนองคาย เพื่อชมปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค ณ ริมฝั่งโขง ในช่วงออกพรรษาปลายเดือนนี้ ซึ่งคาดว่าจะเกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์ 2 วันซ้อน นักวิทยาศาสตร์ของไทยและต่างประเทศหลาย ๆ สำนักต่างพยายามพิสูจน์ปรากฏการณ์นี้ตามหลักวิทยาศาสตร์
ในจังหวัดหนองคาย มีการเกิดปรากฏการณ์ประหลาดมีลูกไฟสีชมพูพุ่งขึ้นเหนือลำน้ำโขง ตั้งแต่ระดับ 1-30 เมตร แล้วพุ่งขึ้นไปในอากาศสูงประมาณ 50-150 เมตร เป็นเวลาประมาณ 5-10 วินาที ไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน ไม่มีเสียง ชาวบ้านเรียกว่า บั้งไฟผี หรือ บั้งไฟพญานาค โดยจะเกิดปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ในช่วงวันออกพรรษา หรือ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 28 ต.ค.
จากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของไทยหลายฉบับสรุปว่า บั้งไฟพญานาค คือ ก๊าซมีเทน-ไนโตรเจน ที่เกิดจากการอาศัยอยู่ร่วมกันระหว่างแบคทีเรียที่ทนต่อออกซิเจนได้ ณ ความลึกของแม่น้ำโขงและแหล่งน้ำข้างเคียง 4.55 -13.40 เมตร ตำแหน่งที่มีสารอินทรีย์พอเหมาะใต้ผิวโคลน หรือทรายท้องแม่น้ำโขง ซึ่งระดับน้ำขนาดนี้จะมีอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส (ปริมาณออกซิเจนน้อย)
ทั้งนี้ในวันที่เกิดปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค คือวันที่แสงแดดส่องลงมาในช่วงเวลาประมาณ 10,13 และ16 นาฬิกา มีอุณหภูมิมากกว่า 26 องศาเซลเซียสทำให้มีความร้อนมากพอที่จะย่อยสลายอินทรีย์ และจะมีก๊าซมีเทนจากการหมักมากว่า 3-4 ชั่วโมง ซึ่งมากที่จะก่อให้เกิดความดันก๊าชในผิวทรายทำให้ก๊าซจะหลุดออกมาและพุ่ง ขึ้นเมื่อโผล่พ้นน้ำ
ฟองก๊าซที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำบางส่วนจะฟุ้งกระจายออกไป ส่วนแกนในของก๊าซขนาดเท่าหัวแม่มือจะพุ่งขึ้นสูงกระทบกับออกซิเจน รวมกับอุณหภูมิที่ลดต่ำลงของคืนที่เกิดเหตุการณ์ทำให้เกิดการสันดาปอย่าง รวดเร็วจนติดไฟได้ ดังนั้นดวงไฟหลากสีที่เราพบเห็นจะเป็นสีแดงอำพัน (เหลือง)
ทั้งนี้ช่วงเวลาที่เกิดบั้งไฟพญานาคจะเป็นเดือนมีนาคม เมษายน พฤษภาคม กันยายน และตุลาคม เพราะโลกโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดทำให้รังสีอัลตร้าไวโอเล็ตเพิ่ม ปริมาณสูงขึ้นและเจาะทะลวงยังพื้นโลกได้มากขึ้น ขณะเดียวกันประเทศไทยก็ตั้งอยู่ในแถบแนวเส้นศูนย์สูตรที่สามารถรับแสง อาทิตย์ได้มาก
เนื่องจากโลกหมุนรอบตัวเองในแกนที่เอียงทำมุม 23.5 องศา กับดวงอาทิตย์ทำให้ซีกโลกในเวลากลางคืนของประเทศที่ตั้งอยู่ระหว่างเส้น ละติจูด 15-45 องศาเหนือและองศาใต้ อยู่ห่างจากแนวแรงรวมของแรงโน้มถ่วงของดวงจันทร์ โลก และดวงอาทิตย์ไม่เกิน 25 องศาในวันขึ้น 15 ค่ำเดือนกันยายน, ตุลาคม, เมษายน และพฤษภาคม ทำให้มีปรากฏการณ์ที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นในหลายประเทศในช่วงเวลาดังกล่าว
สำหรับนายแพทย์มนัส กนกศิลป์ แห่งโรงพยาบาลหนองคาย ซึ่งเป็นผู้ศึกษาปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคตามหลักวิทยาศาสตร์มาเป็นเวลานาน กล่าวไว้ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนก.พ. 38 ว่า "บั้งไฟพญานาคน่าจะเป็นสสาร และจะต้องมีมวล เพราะแหวกนํ้าขึ้นมาได้ จึงน่าจะเป็นก๊าซไม่มีสี ไม่มีกลิ่น จุดติดไฟได้เอง และต้องเบากว่าอากาศ"
หมอมนัสยังได้สรุปอีกว่า บั้งไฟพญานาค คือ ก๊าซมีเธน-ไนโตรเจน ความบริสุทธิ์ประมาณ 19% เกิดจากการอยู่ร่วมกันระหว่างแบคทีเรียที่ทนทานต่อก๊าซออกซิเจนได้ และแบคทีเรียกลุ่มมีเธนฟอร์มเมอร์ ซึ่งดำรงชีวิตอยู่ได้ในสภาพไร้ออกซิเจนเท่านั้นซึ่งก๊าซมีเทน และไฮโดรเจนเหล่านี้เกิดจากการหมักตัวของบัคเตรี จากมูลสัตว์ ซากพืชและสัตว์ที่ตายแล้ว
หลังจากใช้เวลาหมัก 3-6 ชั่วโมง จะได้ก๊าซมีเธนปริมาณมากพอที่จะก่อให้เกิดความดันก๊าซ ใต้ผิวทรายอย่างน้อย 1.45 เท่าของความดันอากาศ หล่มทรายก็จะไม่สามารถปรับแรงดันได้ ก๊าซจะหลุดออกมาและพุ่งขึ้นเมื่อโผล่พ้นน้ำ ฟองก๊าซที่โตกว่า 15 CC. (ขนาดหัวแม่มือ) ลอยสูงขึ้นไปกระทบกับอนุภาคออกซิเจนกับอะตอมที่มีประจุที่มีพลังงานสูงและมี ความหนาแน่นมากพอ และเมื่อลอยสูงขึ้นมาผ่านพ้นผิวนํ้าจะเหลือขนาดแค่ 12 ซีซี ช่วงนี้เองที่จะเริ่มติดไฟได้ด้วยตัวเอง จนเกิดเป็นบั้งไฟพญานาค
อีกทั้งทฤษฎีความเชื่อของหมอมนัสยังถูกโยงเข้ากับความรู้เรื่องกระแสลม ซึ่งช่วยอธิบายถึงการที่บั้งไฟลอยขึ้นสู่ที่สูง พัดเฉเข้าหาฝั่ง หรือเฉออกกลางแม่นํ้า "ความเร็วของ ลมที่ไม่เท่ากัน จะทําให้บั้งไฟพุ่งขึ้นเร็วหรือช้าต่างกัน ลูกไฟที่อยู่ใกล้ฝั่งมักมีลูกเล็ก เพราะปูดขึ้นมาจากท้องนํ้าที่ตื้นกว่า ระยะทางวิ่งจากท้องนํ้ามายังผิวนํ้าของก้อนก๊าซ จะสั้นกว่าลูกไฟที่ปูดขึ้นจากที่ลึก หรือกลางแม่นํ้า พวกที่มาจากที่ลึกจะมีแรงส่งตัวและความเร็วที่สูงกว่าจึงพุ่งขึ้นอย่าง รวดเร็วคล้ายบั้งไฟ ส่วนพวกที่มาจากใกล้ๆ ฝั่ง ซึ่งนํ้าตื้นจะมีแรงส่งตัวและความเร็วตํ่ากว่าจึงลอยนิ่งขึ้นมา พอถึงระดับตลิ่งจึงเริ่มเฉตัวขึ้นสูง" หมอมนัส กล่าว
นอกจากนี้ในนิตยสารนิวไซแอนทิส (New Scientist) ยังได้รายงานถึงปรากฏการณ์ครั้งนี้โดยตั้งสมมติฐานออกมาเป็น 2 แนว คือ ปรากกฎการณ์นี้เกิดมาจากฟอสฟอรัสที่รวมตัวกัน ปรากฏการณ์แสงเรือง ๆ ที่ลอยเหนือในที่ ๆ มีน้ำขัง คาดว่าเกิดจากการเผาไหม้ฉับพลันของก๊าซไวไฟ เป็นปรากฏการณ์ที่พบได้ยากมาก เป็นผลมาจากการเผาไหม้จนเกิดก๊าซที่เกิดจากการหมักหมมของซากพืชซากสัตว์เป็น ระยะเวลาหลายปีภายใต้หนองบึง เชื่อกันว่าสารประกอบที่สำคัญเหล่านี้เกิดจากสารฟอสฟอรัสที่รวมตัวกัน ซึ่งเป็นสารประกอบของไฮไดรด์ ไดฟอสเฟน (hydride diphosphane) ที่ปล่อยความดันไอขึ้นมาที่อุณหภูมิระหว่าง 20 – 30 องศาและเผาไหม้ตามธรรมชาติในอากาศด้วยความเข้มข้นต่ำ
ในต้นทศวรรษนี้นักวิทยาศาสตร์ต่างตัดความเป็นไปได้ว่าสิ่งเหล่านี้อาจ เกิดจากปฏิกิริยาของแบคทีเรียบนท้องน้ำแต่การวิจัยเร็ว ๆ นี้แสดงให้เห็นว่าปฏิกิริยานี้เกิดจากการหมักหมมของสารอินทรีย์ที่อุดมไป ด้วยฟอสฟอรัส ซึ่งเห็นเป็นแสงเรือง ๆ คล้ายเปลวเทียนตามป่าช้าที่เห็นในบริเวณโบสถ์ ส่วนการอธิบายอื่น ๆ นอกเหนือไปจากนี้ อาจเป็นเพราะว่าแสงที่เห็นขึ้นอยู่ภายใต้ผิวน้ำ สันนิษฐานว่าเกิดจากแก๊สที่รวมตัวกันในโคลนตมในลำน้ำซึ่งมาสัมผัสกับ ออกซิเจนเพื่อเกิดการเผาไหม้ใต้น้ำ ดังนั้นสมมติฐานเกี่ยวกับไดฟอสเฟนอาจจะถูกตัดไป
ส่วนบางคนที่ไปทดลองไฟเหล่านี้อาจจะพบ “เปลวไฟเย็น” มีหลายทฤษฎีมาก ๆ ที่อธิบายปรากฏการณ์นี้ ยกตัวอย่างเช่น ภายใต้ความเข้มข้นต่ำของออกซิเจน การระเหยของฟอสฟอรัสจะทำให้เกิดการเรืองแสงและจะรวมตัวกันได้ง่ายผ่านการ สลายตัวของไดฟอสเฟน นักจุลชีววิทยาเชื่อว่าปรากฏการณ์นี้เป็นสาเหตุมาจากแบคทีเรียฟอสฟอเรสเซนต์ ( phosphorescent bacteria ) ซึ่งเชื่อว่าบางสายพันธุ์จะอาศัยอยู่ในดิน
ทิม ดาวน์นี (Tim Downie) กล่าวในนิตยสารนิวไซแอนทิส ว่า เขาเคยได้ยินเรื่องปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคมาก่อนถึงแม่ว่าจะไม่เคยเห็นมัน จริง ๆ ตั้งแต่ที่ทำงานเป็นนักธรณีวิทยา ปัจจุบันพบว่าการเกิดพระจันทร์เต็มดวงและอิทธิพลของดวงจันทร์ทำให้เกิดน้ำ ขึ้นน้ำลง ยกตัวอย่างเช่น คลื่นบนผิวน้ำที่เกิดขึ้นอย่างผิดปรกติอาจจะเกิดหลังจากฝนตกหนักทำให้มีน้ำ หลาก ขณะที่คลื่นในแม่น้ำเกิดที่หนึ่ง คลื่นสามารถเคลื่อนขึ้นและลงได้ถ้าแม่น้ำมีกระแสน้ำขึ้นน้ำลง
ส่วนความสูงและช่องว่างของคลื่นจะขึ้นอยู่กับการไหลและลักษณะทาง ธรณีวิทยาของแม่น้ำ เปรียบเทียบได้กับเรือที่ไหลจะทิ้งคลื่นซัดชายฝั่งทิ้งไว้เป็นเวลานานและให้ ผลอย่างเดียวกัน เขากล่าวเพิ่มเติมว่า บั้งไฟพญานาคไม่เพียงจะเกิดแค่ในแม่น้ำโขงแต่มันยังเกิดทางตอนเหนือภายใน ประเทศลาวซึ่งมีแม่น้ำโขงเป็นพรมแดนตามธรรมชาติ บั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นเพียงบริเวณเล็ก ๆ อาจเกิดทั้งในแม่น้ำและในทุ่งนาที่มีน้ำท่วมขัง
ส่วนสถานที่ที่รายงานว่าเคยพบลูกไฟที่มีลักษณะคล้ายบั้งไฟพญานาค ได้แก่ มลรัฐมิสซูรี (ห่าง 20 องศา ไปทางเหนือ ในเวลากลางคืน), มลรัฐเท็กซัส ทางตอนใต้ของสหรัฐ (ห่าง 11.5 องศา ไปทางเหนือ ในเวลากลางคืน) ซึ่งเรียกว่า แสงมาร์ฟา ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นมากว่า 100 กว่าปีแล้ว และยังมีที่เมืองเจดด้าห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ริมฝั่งทะเลแดง (ห่าง 0.5 องศาไปทางเหนือในเวลากลางคืน)
หนองคาย ละติจูด 17 องศา 52 ลิปดา เหนือ (ห่าง 5 องศา 38 ลิปดา ไปทางใต้ตอนกลางคืน) ปรากฏการณ์นี้จะเกิดได้มากในทุกประเทศที่กล่าวข้างต้น ในคืนข้างขึ้น 7-9 ค่ำ,ข้างแรม 7-9 ค่ำ หรือขึ้น 14 ค่ำ ถึงแรม 1 ค่ำ ของเดือนที่ได้กล่าวไปแล้ว นอกจากนี้ อีกช่วงเวลาหนึ่งที่อาจพบบั้งไฟพญานาคได้ประปราย ก็คือในช่วงเดือนมิถุนายนของประเทศในซีกโลกเหนือ เช่น วันที่ 21 และ 28 มิย. 2539 ที่ผ่านมาหนองคายก็มีบั้งไฟพญานาคขึ้นเช่นกัน
สำหรับประเทศไทยมากกว่า 90% ของจำนวนลูกของบั้งไฟพญานาคในแต่ละปีจะพบขึ้นที่ จ.หนองคาย หน้าวัดไทย,และบ้านน้ำเป อ.โพนพิสัย,วัดอาฮง อ.บึงกาฬ,วัดหินหมากเป้ง และอ่างปลาบึก อ.สังคม ในคืนขึ้น 15 ค่ำและแรม 1 ค่ำ เดือน 11 และแต่ละปีจะขึ้นปีละ 3-7 วัน แต่ที่ประชาชนไปทราบกันแพร่หลายมานับร้อยๆปี คือวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 ตามปฏิทินลาวซึ่งอาจตรงกับวันแรม 1 ค่ำ หรือ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของไทย จะเป็นวันที่ขึ้นแน่นอนและขึ้นมากที่สุดของทุกปี
ในจังหวัดหนองคาย มีการเกิดปรากฏการณ์ประหลาดมีลูกไฟสีชมพูพุ่งขึ้นเหนือลำน้ำโขง ตั้งแต่ระดับ 1-30 เมตร แล้วพุ่งขึ้นไปในอากาศสูงประมาณ 50-150 เมตร เป็นเวลาประมาณ 5-10 วินาที ไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน ไม่มีเสียง ชาวบ้านเรียกว่า บั้งไฟผี หรือ บั้งไฟพญานาค โดยจะเกิดปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ในช่วงวันออกพรรษา หรือ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 28 ต.ค.
จากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของไทยหลายฉบับสรุปว่า บั้งไฟพญานาค คือ ก๊าซมีเทน-ไนโตรเจน ที่เกิดจากการอาศัยอยู่ร่วมกันระหว่างแบคทีเรียที่ทนต่อออกซิเจนได้ ณ ความลึกของแม่น้ำโขงและแหล่งน้ำข้างเคียง 4.55 -13.40 เมตร ตำแหน่งที่มีสารอินทรีย์พอเหมาะใต้ผิวโคลน หรือทรายท้องแม่น้ำโขง ซึ่งระดับน้ำขนาดนี้จะมีอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส (ปริมาณออกซิเจนน้อย)
ทั้งนี้ในวันที่เกิดปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค คือวันที่แสงแดดส่องลงมาในช่วงเวลาประมาณ 10,13 และ16 นาฬิกา มีอุณหภูมิมากกว่า 26 องศาเซลเซียสทำให้มีความร้อนมากพอที่จะย่อยสลายอินทรีย์ และจะมีก๊าซมีเทนจากการหมักมากว่า 3-4 ชั่วโมง ซึ่งมากที่จะก่อให้เกิดความดันก๊าชในผิวทรายทำให้ก๊าซจะหลุดออกมาและพุ่ง ขึ้นเมื่อโผล่พ้นน้ำ
ฟองก๊าซที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำบางส่วนจะฟุ้งกระจายออกไป ส่วนแกนในของก๊าซขนาดเท่าหัวแม่มือจะพุ่งขึ้นสูงกระทบกับออกซิเจน รวมกับอุณหภูมิที่ลดต่ำลงของคืนที่เกิดเหตุการณ์ทำให้เกิดการสันดาปอย่าง รวดเร็วจนติดไฟได้ ดังนั้นดวงไฟหลากสีที่เราพบเห็นจะเป็นสีแดงอำพัน (เหลือง)
ทั้งนี้ช่วงเวลาที่เกิดบั้งไฟพญานาคจะเป็นเดือนมีนาคม เมษายน พฤษภาคม กันยายน และตุลาคม เพราะโลกโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดทำให้รังสีอัลตร้าไวโอเล็ตเพิ่ม ปริมาณสูงขึ้นและเจาะทะลวงยังพื้นโลกได้มากขึ้น ขณะเดียวกันประเทศไทยก็ตั้งอยู่ในแถบแนวเส้นศูนย์สูตรที่สามารถรับแสง อาทิตย์ได้มาก
เนื่องจากโลกหมุนรอบตัวเองในแกนที่เอียงทำมุม 23.5 องศา กับดวงอาทิตย์ทำให้ซีกโลกในเวลากลางคืนของประเทศที่ตั้งอยู่ระหว่างเส้น ละติจูด 15-45 องศาเหนือและองศาใต้ อยู่ห่างจากแนวแรงรวมของแรงโน้มถ่วงของดวงจันทร์ โลก และดวงอาทิตย์ไม่เกิน 25 องศาในวันขึ้น 15 ค่ำเดือนกันยายน, ตุลาคม, เมษายน และพฤษภาคม ทำให้มีปรากฏการณ์ที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นในหลายประเทศในช่วงเวลาดังกล่าว
สำหรับนายแพทย์มนัส กนกศิลป์ แห่งโรงพยาบาลหนองคาย ซึ่งเป็นผู้ศึกษาปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคตามหลักวิทยาศาสตร์มาเป็นเวลานาน กล่าวไว้ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนก.พ. 38 ว่า "บั้งไฟพญานาคน่าจะเป็นสสาร และจะต้องมีมวล เพราะแหวกนํ้าขึ้นมาได้ จึงน่าจะเป็นก๊าซไม่มีสี ไม่มีกลิ่น จุดติดไฟได้เอง และต้องเบากว่าอากาศ"
หมอมนัสยังได้สรุปอีกว่า บั้งไฟพญานาค คือ ก๊าซมีเธน-ไนโตรเจน ความบริสุทธิ์ประมาณ 19% เกิดจากการอยู่ร่วมกันระหว่างแบคทีเรียที่ทนทานต่อก๊าซออกซิเจนได้ และแบคทีเรียกลุ่มมีเธนฟอร์มเมอร์ ซึ่งดำรงชีวิตอยู่ได้ในสภาพไร้ออกซิเจนเท่านั้นซึ่งก๊าซมีเทน และไฮโดรเจนเหล่านี้เกิดจากการหมักตัวของบัคเตรี จากมูลสัตว์ ซากพืชและสัตว์ที่ตายแล้ว
หลังจากใช้เวลาหมัก 3-6 ชั่วโมง จะได้ก๊าซมีเธนปริมาณมากพอที่จะก่อให้เกิดความดันก๊าซ ใต้ผิวทรายอย่างน้อย 1.45 เท่าของความดันอากาศ หล่มทรายก็จะไม่สามารถปรับแรงดันได้ ก๊าซจะหลุดออกมาและพุ่งขึ้นเมื่อโผล่พ้นน้ำ ฟองก๊าซที่โตกว่า 15 CC. (ขนาดหัวแม่มือ) ลอยสูงขึ้นไปกระทบกับอนุภาคออกซิเจนกับอะตอมที่มีประจุที่มีพลังงานสูงและมี ความหนาแน่นมากพอ และเมื่อลอยสูงขึ้นมาผ่านพ้นผิวนํ้าจะเหลือขนาดแค่ 12 ซีซี ช่วงนี้เองที่จะเริ่มติดไฟได้ด้วยตัวเอง จนเกิดเป็นบั้งไฟพญานาค
อีกทั้งทฤษฎีความเชื่อของหมอมนัสยังถูกโยงเข้ากับความรู้เรื่องกระแสลม ซึ่งช่วยอธิบายถึงการที่บั้งไฟลอยขึ้นสู่ที่สูง พัดเฉเข้าหาฝั่ง หรือเฉออกกลางแม่นํ้า "ความเร็วของ ลมที่ไม่เท่ากัน จะทําให้บั้งไฟพุ่งขึ้นเร็วหรือช้าต่างกัน ลูกไฟที่อยู่ใกล้ฝั่งมักมีลูกเล็ก เพราะปูดขึ้นมาจากท้องนํ้าที่ตื้นกว่า ระยะทางวิ่งจากท้องนํ้ามายังผิวนํ้าของก้อนก๊าซ จะสั้นกว่าลูกไฟที่ปูดขึ้นจากที่ลึก หรือกลางแม่นํ้า พวกที่มาจากที่ลึกจะมีแรงส่งตัวและความเร็วที่สูงกว่าจึงพุ่งขึ้นอย่าง รวดเร็วคล้ายบั้งไฟ ส่วนพวกที่มาจากใกล้ๆ ฝั่ง ซึ่งนํ้าตื้นจะมีแรงส่งตัวและความเร็วตํ่ากว่าจึงลอยนิ่งขึ้นมา พอถึงระดับตลิ่งจึงเริ่มเฉตัวขึ้นสูง" หมอมนัส กล่าว
นอกจากนี้ในนิตยสารนิวไซแอนทิส (New Scientist) ยังได้รายงานถึงปรากฏการณ์ครั้งนี้โดยตั้งสมมติฐานออกมาเป็น 2 แนว คือ ปรากกฎการณ์นี้เกิดมาจากฟอสฟอรัสที่รวมตัวกัน ปรากฏการณ์แสงเรือง ๆ ที่ลอยเหนือในที่ ๆ มีน้ำขัง คาดว่าเกิดจากการเผาไหม้ฉับพลันของก๊าซไวไฟ เป็นปรากฏการณ์ที่พบได้ยากมาก เป็นผลมาจากการเผาไหม้จนเกิดก๊าซที่เกิดจากการหมักหมมของซากพืชซากสัตว์เป็น ระยะเวลาหลายปีภายใต้หนองบึง เชื่อกันว่าสารประกอบที่สำคัญเหล่านี้เกิดจากสารฟอสฟอรัสที่รวมตัวกัน ซึ่งเป็นสารประกอบของไฮไดรด์ ไดฟอสเฟน (hydride diphosphane) ที่ปล่อยความดันไอขึ้นมาที่อุณหภูมิระหว่าง 20 – 30 องศาและเผาไหม้ตามธรรมชาติในอากาศด้วยความเข้มข้นต่ำ
ในต้นทศวรรษนี้นักวิทยาศาสตร์ต่างตัดความเป็นไปได้ว่าสิ่งเหล่านี้อาจ เกิดจากปฏิกิริยาของแบคทีเรียบนท้องน้ำแต่การวิจัยเร็ว ๆ นี้แสดงให้เห็นว่าปฏิกิริยานี้เกิดจากการหมักหมมของสารอินทรีย์ที่อุดมไป ด้วยฟอสฟอรัส ซึ่งเห็นเป็นแสงเรือง ๆ คล้ายเปลวเทียนตามป่าช้าที่เห็นในบริเวณโบสถ์ ส่วนการอธิบายอื่น ๆ นอกเหนือไปจากนี้ อาจเป็นเพราะว่าแสงที่เห็นขึ้นอยู่ภายใต้ผิวน้ำ สันนิษฐานว่าเกิดจากแก๊สที่รวมตัวกันในโคลนตมในลำน้ำซึ่งมาสัมผัสกับ ออกซิเจนเพื่อเกิดการเผาไหม้ใต้น้ำ ดังนั้นสมมติฐานเกี่ยวกับไดฟอสเฟนอาจจะถูกตัดไป
ส่วนบางคนที่ไปทดลองไฟเหล่านี้อาจจะพบ “เปลวไฟเย็น” มีหลายทฤษฎีมาก ๆ ที่อธิบายปรากฏการณ์นี้ ยกตัวอย่างเช่น ภายใต้ความเข้มข้นต่ำของออกซิเจน การระเหยของฟอสฟอรัสจะทำให้เกิดการเรืองแสงและจะรวมตัวกันได้ง่ายผ่านการ สลายตัวของไดฟอสเฟน นักจุลชีววิทยาเชื่อว่าปรากฏการณ์นี้เป็นสาเหตุมาจากแบคทีเรียฟอสฟอเรสเซนต์ ( phosphorescent bacteria ) ซึ่งเชื่อว่าบางสายพันธุ์จะอาศัยอยู่ในดิน
ทิม ดาวน์นี (Tim Downie) กล่าวในนิตยสารนิวไซแอนทิส ว่า เขาเคยได้ยินเรื่องปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคมาก่อนถึงแม่ว่าจะไม่เคยเห็นมัน จริง ๆ ตั้งแต่ที่ทำงานเป็นนักธรณีวิทยา ปัจจุบันพบว่าการเกิดพระจันทร์เต็มดวงและอิทธิพลของดวงจันทร์ทำให้เกิดน้ำ ขึ้นน้ำลง ยกตัวอย่างเช่น คลื่นบนผิวน้ำที่เกิดขึ้นอย่างผิดปรกติอาจจะเกิดหลังจากฝนตกหนักทำให้มีน้ำ หลาก ขณะที่คลื่นในแม่น้ำเกิดที่หนึ่ง คลื่นสามารถเคลื่อนขึ้นและลงได้ถ้าแม่น้ำมีกระแสน้ำขึ้นน้ำลง
ส่วนความสูงและช่องว่างของคลื่นจะขึ้นอยู่กับการไหลและลักษณะทาง ธรณีวิทยาของแม่น้ำ เปรียบเทียบได้กับเรือที่ไหลจะทิ้งคลื่นซัดชายฝั่งทิ้งไว้เป็นเวลานานและให้ ผลอย่างเดียวกัน เขากล่าวเพิ่มเติมว่า บั้งไฟพญานาคไม่เพียงจะเกิดแค่ในแม่น้ำโขงแต่มันยังเกิดทางตอนเหนือภายใน ประเทศลาวซึ่งมีแม่น้ำโขงเป็นพรมแดนตามธรรมชาติ บั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นเพียงบริเวณเล็ก ๆ อาจเกิดทั้งในแม่น้ำและในทุ่งนาที่มีน้ำท่วมขัง
ส่วนสถานที่ที่รายงานว่าเคยพบลูกไฟที่มีลักษณะคล้ายบั้งไฟพญานาค ได้แก่ มลรัฐมิสซูรี (ห่าง 20 องศา ไปทางเหนือ ในเวลากลางคืน), มลรัฐเท็กซัส ทางตอนใต้ของสหรัฐ (ห่าง 11.5 องศา ไปทางเหนือ ในเวลากลางคืน) ซึ่งเรียกว่า แสงมาร์ฟา ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นมากว่า 100 กว่าปีแล้ว และยังมีที่เมืองเจดด้าห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ริมฝั่งทะเลแดง (ห่าง 0.5 องศาไปทางเหนือในเวลากลางคืน)
หนองคาย ละติจูด 17 องศา 52 ลิปดา เหนือ (ห่าง 5 องศา 38 ลิปดา ไปทางใต้ตอนกลางคืน) ปรากฏการณ์นี้จะเกิดได้มากในทุกประเทศที่กล่าวข้างต้น ในคืนข้างขึ้น 7-9 ค่ำ,ข้างแรม 7-9 ค่ำ หรือขึ้น 14 ค่ำ ถึงแรม 1 ค่ำ ของเดือนที่ได้กล่าวไปแล้ว นอกจากนี้ อีกช่วงเวลาหนึ่งที่อาจพบบั้งไฟพญานาคได้ประปราย ก็คือในช่วงเดือนมิถุนายนของประเทศในซีกโลกเหนือ เช่น วันที่ 21 และ 28 มิย. 2539 ที่ผ่านมาหนองคายก็มีบั้งไฟพญานาคขึ้นเช่นกัน
สำหรับประเทศไทยมากกว่า 90% ของจำนวนลูกของบั้งไฟพญานาคในแต่ละปีจะพบขึ้นที่ จ.หนองคาย หน้าวัดไทย,และบ้านน้ำเป อ.โพนพิสัย,วัดอาฮง อ.บึงกาฬ,วัดหินหมากเป้ง และอ่างปลาบึก อ.สังคม ในคืนขึ้น 15 ค่ำและแรม 1 ค่ำ เดือน 11 และแต่ละปีจะขึ้นปีละ 3-7 วัน แต่ที่ประชาชนไปทราบกันแพร่หลายมานับร้อยๆปี คือวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 ตามปฏิทินลาวซึ่งอาจตรงกับวันแรม 1 ค่ำ หรือ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของไทย จะเป็นวันที่ขึ้นแน่นอนและขึ้นมากที่สุดของทุกปี
คำสาปฟาโรห์
คำสาปฟาโรห์ (ญี่ปุ่น: 王家の紋章 Ouke no Monshou ?) (อังกฤษ: Daughter of the Nile) เป็นการ์ตูนอิงประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณ วาดโดย จิเอโกะ โฮโซคาวะ โดยใช้ แครอล เป็นตัวถ่ายทอด เธอได้ตกลงไปในห้วงอดีต 3000 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยไอซิส จนพบกับ เมมฟิส ฟาโรห์แห่งอียิปต์ในยุคนั้น
ราชวงศ์ โรมานอฟ
บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด

ราชวงศ์ โรมานอฟ (Romanov dynasty) ได้ปกครองรัสเซียเป็นเวลานานถึง 300 ปี มีจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรหลายองค์ เช่น ปีเตอร์มหาราช คันทรีมหาราชินี แต่แล้วพอถึง ค.ศ. 1918 ราชวงศ์โรมานอฟ ก็ต้องประสบกับโศกนาฏกรรมร้ายแรง ปิดฉากราชวงศ์ที่เคยยิ่งใหญ่ลง
ความหายนะที่เกิดขึ้นนี้ ว่ากันว่า ส่วนหนึ่งมาจากคำสาปแช่งของ บุรุษที่มีพลังอำนาจจิตสูงส่ง นาม รัสปูติน (Rasputin)!

นับเป็นการเริ่มต้นรัชกาลใหม่ ที่น่าสยดสยองยิ่ง และหลอกหลอนความรู้สึก ของสมาชิกราชวงศ์ ทุกพระองค์ตลอดเวลา

ซาร์ และซาริน่าทรงไม่ละความพยายาม ทั้งสองพระองค์สวดอ้อนวอน ขอพรต่อเทพเจ้าให้ประทานพระโอรส และท้ายที่สุดก็สมพระทัย ในวันที่ 5 สิงหาคม 1904 พระองค์ก็ได้เจ้าชายรัชทายาท อเล็กไซ นิโคลาวิช โรมานอฟ
หาก ทว่า นิโคลาสกับอเล็กซานดราก็ต้องทรงระทมทุกข์อีกครั้ง เมื่อพบว่าเจ้าชายน้อยอเล็กไซ มีพลานามัยไม่สมบูรณ์ ทรงประชวรด้วยโรคร้าย ฮีโมฟีเลีย ถ้าเป็นแผล โลหิตจะไหลไม่หยุด จนถึงอาจสิ้นพระชนม์ได้ และโรคนี้ไม่มีวิธีรักษา!
เรื่องนี้ ซาร์ทรงปิดเป็นความลับแก่โลกภายนอก ห้ามผู้หนึ่งผู้ใดเข้ามาเยือนในพระราชวัง ยกเว้นผู้สนิทสนมใกล้ชิด เพียงไม่กี่คน

หนึ่งในผู้ที่ทรงเชื้อเชิญ ให้มารักษา เป็น บุรุษลึกลับกลับจากป่าในไซบีเรีย นาม เกรกอรี่ รัสปูติน ตอนที่อเล็กซานดรานำ เขาผู้นี้มาในวัง อเล็กไซ เจ้าชายน้อยกำลังบรรทม เจ็บปวดรวดร้าว จากอาการเลือดตกในใกล้สิ้นพระชนม์
รัสปูตินสามารถช่วยชีวิตอเล็กไซไว้ได้!
ปริศนาที่ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้คือ เขารักษาอาการขององค์รัชทายาทได้อย่างไร?
บางคนมั่นใจว่า เขาใช้วิธีสะกดจิต
บางคนแย้งว่า เป็นเพราะเหตุบังเอิญ

ซา ริน่าทรงเชื่อมั่นว่ารัสปูตินได้รับ พลังอำนาจพิเศษจากเทพเจ้า พระนางจึงทรงเชิญให้เขาเข้ามา พำนักอยู่ในพระราชฐานชั้นใน เพื่อดูแลถวายการรักษาอเล็กไซอย่างใกล้ชิด
และ นี่เองที่ทำให้รัสปูตินได้มีโอกาส คลุกคลีกับสาวสรรพ์กำนัลในแห่งพระราชวัง จนกลายเป็นข่าวลืออื้อฉาวถึงสัมพันธ์สวาทที่เขามีต่อเหล่านางข้าหลวง ตลอดจนเจ้าหญิง และแม้กระทั่งซารีน่าอเล็กซานดราก็มิได้เว้น!
ยิ่ง ไปกว่านั้น รัสเซียได้เข้าร่วม ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ใน ค.ศ. 1914 พระเจ้าซาร์ทรงเห็นความสำคัญ ของศึกครั้งนี้ จึงทรงออก ร่วมในการบัญชาการ เป็นเหตุให้ต้องเหินห่างพระ ราชวัง เปิดโอกาสให้รัสปูตินได้กระทำการบัดสีต่างๆ ได้ตามอำเภอใจ
หนัก ขึ้น ด้วยในขณะนั้น เขาเป็นที่โปรดปรานของ ซาริน่าอย่างยิ่ง อีกทั้งพลังสายตาอันแข็งกล้าของเขา ก็ยังสยบผู้คนให้ตกอยู่ใต้ อำนาจได้อีกด้วย
นับเป็นก้าวย่างที่ราชวงศ์โรมานอฟ ถึงจุดเสื่อมสลายอย่างรวดเร็ว
ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า
“พระ ราชินีทรงคิดว่า พระเจ้าได้สื่อสารกับ พระราชวงศ์โดยผ่านทางรัสปูติน เมื่อเขาพูดถึงสิ่งใด พระนางก็จะทรง ปฏิบัติตามโดยไม่รอช้า ดังนั้น เมื่อรัสปูตินแนะนำให้ตั้ง ใครดำรงตำแหน่งสูงๆ หรือขับไล่ผู้หนึ่งผู้ใดให้พ้นไปเสียจากวัง พระนางก็จะทรงทำตา มคำแนะนำของเขาทันทีเขา จึงเป็นผู้ที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งในพระราชวัง”

แต่รัสปูตินไม่ธรรมดา ทั้งดื่มทั้งกินสารพิษ ร้ายเข้าไปแล้วก็ยังมีทีท่าปกติ ยูสโซปอฟ แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง นี่ต้องเป็นอำนาจของปิศาจร้ายแน่ๆ ด้วยความโกรธและตกใจ เจ้าชายจึงชักปืนรีวอลเวอร์ ออกมากระหน่ำยิงรัสปูตินจนล้มคว่ำ แน่ใจว่าหนนี้นักบวชชั่วคงตายแน่นอน ยูสโซปอฟเข้าไปก้มดูร่างที่นอนนิ่งอยู่ หากทว่าร่างนั้นกลับลืมตา จ้องถมึงทึงพลางคำราม “แกไอ้บัดซบ” ยูสโซปอฟตระหนกสุดขีด แล้ววิ่งขึ้นบันไดร้องลั่น “มันไม่ตาย! มันยังมีชีวิต!”

ยาพิษและกระสุนปืนไม่ระคายเคืองแก่รัสปูติน แต่เขาตายเพราะจมน้ำ!
ข่าว ความตายอย่างหฤโหดของรัสปูตินแพร่กระจายไปทั่วอาณาจักร สร้างความโศกศัลย์แก่อเล็กซานดรายั่งนัก นอกจากนี้ยังทรงหวั่นไหวอย่างยิ่ง เนื่อง จากก่อนหน้าการตายไม่ นานนัก นักบวชผู้หยาบช้าได้เขียนบันทึกสั้นๆ ถึงพระองค์ไว้ว่า “ขอให้ทรงรับรู้ว่า ถ้าหากเชื้อพระวงศ์องค์ใดทำให้หม่อมฉันตาย พระ องค์และครอบครัวจะต้องสิ้นพระชนม์ภายในสองปี จากฝีมือของประชาชนรัสเซีย” เกรกอรี รัสปูติน มีนาคม 1917 ไม่ถึง 3 เดือนหลังการตายของรัสปูติน กระแสแห่งการปฏิวัติหลั่งไหลเข้ามาสู่นครหลวงของรัสเซีย ขบวนชาวนาและคนงานอุตสาหกรรมแห่กันเข้ามาถวายฎีกาปรับปรุงระบบการบริหาร ประเทศ แต่องครักษ์วังหลวงกลับต่อต้านด้วยอาวุธปืน ความจลาจลวุ่นวายบังเกิดขึ้น และผลสุดท้ายซาร์ก็จำต้องสละราชบัลลังก์ พระองค์และเชื้อพระวงศ์ถูกควบคุมตัวอย่างแข็งแรง และถูกนำไปกักขังไว้ ณ ไซบีเรียอันห่างไกลและกันดาร
โดย ซารีน่าและเจ้าหญิงทั้ง สี่องค์ได้แอบซ่อนทองและ อัญมณีเอาไว้ในพระภูษาเป็นอันมาก หากทว่าไม่รอดพ้นมือ ของทหารปฏิวัติซึ่งขี้เมาและกักขฬะ
นอกจากนี้ ยังเชื่อกันว่าเจ้าหญิงผู้งดงาม ไร้เดียงสาบริสุทธิ์ทั้ง 4 องค์ ก็ไม่รอดพ้นการย่ำยีทางเพศ จากทหารเหล่านี้เช่นกัน!

นับเป็นชะตากรรมที่พลิกผันชีวิตอันสูงส่ง ลงมาต่ำสุดอย่างน่าสมเพชยิ่งนัก
เมษายน 1918 ครอบครัวราชวงศ์ โรมานอฟ ถูกนำไปไว้ในบ้านหลังหนึ่ง แถบภูเขาอูรัล ถึงตอนนี้พระเจ้าซาร์ก็ทรง ได้แต่ฝากความหวังไว้กับพระเจ้า และไม่ได้ตระหนัก รู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับ พระองค์ อีก บันทึกสุดท้ายของพระองค์คือ
“อากาศอบอุ่นและสบาย ไม่มีข่าวใดจากภายนอก”
ยาม ดึกของคืนวันที่ 16 กรกฎาคม 1918 ครอบครัวโรมานอฟกับบริพาร และแพทย์ผู้ดูแล รักษา ทั้งหมดถูกปลุกขึ้นและนำตัวลงไปยังห้องใต้ดิน ต่อหน้ากลุ่มนักโทษสูงศักดิ์ นายทหารผู้ควบคุมได้อ่านประกาศ
“ด้วยเหตุที่วงศาคณาญาติของท่านดำเนินการโจมตีโซเวียตรัสเซีย คณะกรรมการบริหารแห่งอูรัล จึงตัดสินประหารท่าน”
แถวทหารเพชฌฆาต 12 นาย ประทับปืนขึ้นยิงกราดยังกลุ่มนักโทษ พวกเขาร่วงผล็อยราวใบไม้
ยู รอฟสกี้ ผู้ควบคุมการประหารก้าวเดินสำรวจ เจ้าชายน้อยอเล็กไซยังไม่สิ้นพระชนม์ ยูรอฟสกี้ ยกปืนพกขึ้นยิงองค์รัชทายาท 2-3 นัด ก็เป็นอันปิดฉากราชวงศ์โรมานอฟ
คำสาปของนักบวชอลัชชีผู้ทรงอำนาจจิตแรงกล้านั้น ได้สร้างความวิบัติแก่ราชวงศ์โรมานอฟอย่างน่าเศร้า และสยดสยองยิ่ง

กะโหลกแก้ว
อันดับ 10 : กะโหลกแก้ว (CRYSTAL SKULLS : SOUTHERN MEXICO)
ปริศนาจาก ชาวมายัน กุญแจที่จะไขทุกคำตอบในโลกของเรา กะโหลกแก้วคริสตัลลึกลับ 5 ใน 13 ทั้งหมดที่ถูกค้นพบ ถูกปลุกฟื้นตำนานเรื่องเล่า ความเป็นไปของมนุษย์จากอดีตกาลสู่ภพหน้า แหล่งบรรจุสรรพสิ่งดั่งคำทำนาย บัดนี้ยังคลุมเครือ ท่ามกลางความสงสัยเกี่ยวกับวิวัฒนาการ และเทคโนโลยีในอดีต ไม่น่าเชื่อว่ากะโหลกแก้วจะสร้างขึ้นเองได้ หากเป็นความจริงอันชวนตะลึง! ดั่งคำสันนิษฐานจากกะโหลกแก้วที่ค้นพบ ข้อมูลในนั้นจะเป็นตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างคนอดีตสู่คนยุคปัจจุบัน
ปริศนาจาก ชาวมายัน กุญแจที่จะไขทุกคำตอบในโลกของเรา กะโหลกแก้วคริสตัลลึกลับ 5 ใน 13 ทั้งหมดที่ถูกค้นพบ ถูกปลุกฟื้นตำนานเรื่องเล่า ความเป็นไปของมนุษย์จากอดีตกาลสู่ภพหน้า แหล่งบรรจุสรรพสิ่งดั่งคำทำนาย บัดนี้ยังคลุมเครือ ท่ามกลางความสงสัยเกี่ยวกับวิวัฒนาการ และเทคโนโลยีในอดีต ไม่น่าเชื่อว่ากะโหลกแก้วจะสร้างขึ้นเองได้ หากเป็นความจริงอันชวนตะลึง! ดั่งคำสันนิษฐานจากกะโหลกแก้วที่ค้นพบ ข้อมูลในนั้นจะเป็นตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างคนอดีตสู่คนยุคปัจจุบัน
ภาพลายเส้นนาซคา
อันดับ 9 : ภาพลายเส้นนาซคา (NAZCA LINES : NAZCA, PERU) ลายเส้นพิศวงกับปริศนาจากภาพเหล่านี้ คือข้อกังขาของที่มาของเรื่องทั้งหมด รูปภาพสัตว์ขนาดใหญ่ สุนัข แมงมุม ปลาวาฬ ดอกไม้ ลิง เป็ด และนกกางปีก บนชายฝั่งทางใต้ของเปรู เป็นคำถามที่คนพื้นเมืองในอดีตสร้างขึ้นเพื่อผูกปมเรื่องให้ใคร่คิด บ้างเชื่อเรื่องทางเดินสู่แหล่งน้ำของชนเผ่าต่างๆ บ้างก็เชื่อมนุษย์ต่างดาวใช้สถานที่แห่งนี้ลงจอดยานบิน หรือมันอาจเป็นส่วนหนึ่งของปฏิทินดาราศาสตร์ที่ซับซ้อน แม้จะหาข้อสรุปไม่ได้ สมมติฐานทั้งหมดก็ช่วยให้เราสนใจภาพวาดเหล่านั้นยิ่งขึ้น
สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า
อันดับ 8 : สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (BERMUDA TRIANGLE : ATLANTIC OCEAN) ความลึกลับ อาถรรพณ์ และเรื่องจริงที่เกิดขึ้นยังคงกล่าวขานถึง สู่หายนะกับสถานที่แห่งนี้ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า มฤตยูกลางมหาสมุทรแอตแลนติก เหตุการณ์ที่ไม่สามารถหา คำอธิบายได้ ความจริงที่เครื่องบิน เรือ ที่ผ่านบริเวณสามเหลี่ยมมรณะถูกดูดกลืนสูญหายไปอย่าง ไร้ร่องรอยโดย ไม่ทราบสาเหตุ ทั้งที่สภาพอากาศ และทุกอย่างเป็นปกติ ไม่มีข้อสรุป คำตอบ หรือข้ออ้างให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเพียงแต่ปริศนาที่ยังค้างคาใจ ผู้คนจนถึงปัจจุบัน |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)