วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มนุษย์ต่างดาว

มนุษย์ต่างดาว (อังกฤษ: Alien) เป็นสิ่งที่เชื่อว่าอาจมีอยู่จริงแต่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ ลักษณะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกโลก ซึ่งในความคิดของคนส่วนใหญ่ มักจะวาดภาพ มนุษย์ต่างดาว ลักษณะคล้ายคนแต่ ตัวเขียว หัวโต ตาโต เคยมาเยือนโลกโดยมากับ จานบิน

เนื้อหา

[ซ่อน]

[แก้] มนุษย์ต่างดาวในจินตนาการ

มนุษย์ปัจจุบันยังไม่ได้ข้อพิสูจน์เรื่องมนุษย์ต่างดาว แต่ก็ยังมีจินตนาการภาพลักษณ์ของมนุษย์ต่างดาวที่ได้ในสื่อต่างๆ ทั้งภาพยนตร์ นิยาย การ์ตูน และ วีดีโอเกม

[แก้] ประเภทของมนุษย์ต่างดาว

ได้มีการแบ่งประเภทตามลักษณะของผู้ที่อ้างว่าได้พบเจอมนุษย์ต่างดาวไว้ ดังนี้
  • เกรย์ (Grey) หมายถึง สีเทา โดยประเภทนี้พบบ่อยที่สุด (ดังในรูป) มีลักษณะหัวโต ตาโตสีดำ รูปร่างคล้ายมนุษย์ ไม่มีขน นิ้วทุกนิ้วเรียวยาว ผิวหนังสีเทา จึงเป็นที่มาของชื่อ สื่อสารกันด้วยการใช้โทรจิต
  • อเลสเฮนกา (Aleshenka) ตั้งตามชื่อหมู่บ้านแห่งหนึ่งในรัสเซีย ค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2539 โดยหญิงสติไม่สมประกอบผู้หนึ่ง มีการบันทึกการพบเจอไว้ด้วยเทปของตำรวจ แต่ภายหลังพบว่าแท้จริงแล้วเป็นเพียงตัวอ่อนของมนุษย์เท่านั้น[1]
  • กึ่งมนุษย์กึ่งสัตว์เลื้อยคลาน (Reptilian humanoid) ตัวสีเขียว รูปร่างคล้ายมนุษย์มี 2 ขา แต่มีผิวหนังและลักษณะคล้ายสัตว์เลื้อยคลาน
  • ดรอป้า (Dropa) ตัวเล็กมาก ก่อนหน้านี้มีหลักฐานว่าเคยพบบริเวณพรมแดนจีน-ทิเบต ราว 1 หมื่นปีก่อน แต่ต่อมาพบว่าเป็นหลักฐานเท็จ และเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องกุขึ้น[ต้องการอ้างอิง]
  • คล้ายหุ่นยนต์ (Robot) รูปร่างคล้ายหุ่นยนต์ในภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ เนื้อตัวเป็นโลหะ ขนาดค่อนข้างใหญ่
  • คล้ายวิญญาณ (Soul) ไม่มีกายเนื้อ สีขาว คล้ายผีหรือวิญญาณ (ตามคำบอกเล่าของ ศ.ดร.น.พ.เทพพนม เมืองแมน)

[แก้] การเผชิญหน้ากับมนุษย์ต่างดาว

ได้มีการแบ่งประเภทการเผชิญหน้ากับมนุษย์ต่างดาวไว้ 5 ระดับ คือ
  • การเผชิญหน้าระดับที่หนึ่ง (Close Encounters of the First Kind) หมายถึง การได้พบปะหรือเจอะเจอกับจานบินหรือมนุษย์ต่างดาวในระยะที่ไกลห่างออกไป เช่น จานบินลอยอยู่บนท้องฟ้า หรืออยู่ห่างจากผู้ที่พบเจอในระยะ 50 หลา เป็นต้น
  • การเผชิญหน้าระดับที่สอง (Close Encounters of the Second Kind) หมายถึง การพบปะกับจานบินหรือมนุษย์ต่างดาวคล้ายกับการเผชิญหน้าระดับที่หนึ่ง แต่อยู่ในระยะที่ใกล้ขึ้น เช่น อาจพบจานบินที่จอดอยู่บนพื้น เป็นต้น
  • การเผชิญหน้าระดับที่สาม (Close Encounters of the Third Kind) หมายถึง การได้เข้าไปในจานบินจะด้วยสาเหตุใดก็ตามแต่สามารถจดจำประสบการณ์ได้และ สามารถออกมาได้
  • การเผชิญหน้าระดับที่สี่ (Close Encounters of the Fourth Kind) หมายถึง การที่ถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไป อาจจะถูกทดลองด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา แต่สามารถจดจำประสบการณ์ได้และออกมาได้
  • การเผชิญหน้าระดับที่ห้า (Close Encounters of the Fifth Kind) หมายถึง การที่มีการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวในระดับที่เป็นกิจจะลักษณะ สามารถสื่อสารกันได้ความระหว่างมนุษย์โลกกับมนุษย์ต่างดาว

[แก้] มนุษย์ต่างดาวในประเทศไทย

สำหรับในประเทศไทย มีสถานที่แห่งหนึ่งที่มีผู้อาศัยอยู่ที่นั่นอ้างว่า พบเจอสิ่งประหลาดคล้ายจานบินบินไป บินมา อยู่บ่อยครั้ง คือที่ เขากะลา จ.นครสวรรค์ ถึงขนาดมีการจัดตั้งชมรมหรือสมาคมขึ้นมาในท้องถิ่นเพื่อศึกษาทางด้านนี้โดยเฉพาะเลยทีเดียว

[แก้]

กัปปะ

กัปปะ (ญี่ปุ่น: 河童 Kappa ?) เป็นผีญี่ปุ่นชนิด หนึ่ง จัดอยู่ในจำพวกพรายน้ำ มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกบ ตัวสีเขียว แต่มีกระดองเต่าอยู่ข้างหลัง เท้ามีพังผืดทั้งเท้าหน้าและเท้าหลัง จมูกแหลม มีลักษณะศีรษะที่แบนและกลางกระหม่อมไม่มีผม เป็นปีศาจที่อาศัยอยู่ตามหนองน้ำหรือแหล่งน้ำต่าง ๆ เชื่อว่า อาหารที่กัปปะชอบคือ แตงกวา ชอบเล่นซูโม่เพราะ มีพละกำลังเยอะ ลักษณะพิเศษคือ มีจานอยู่บนหัวไว้เก็บน้ำ ซึ่งน้ำจะทำให้กัปปะมีพลังพิเศษ และมีพละกำลังมากขึ้น ในทางกลับกันถ้าสูญเสียน้ำไป กัปปะจะอ่อนแรงลงอย่างมาก ถึงขนาดที่ไม่สามารถขยับตัวได้ ถึงแม้ว่ากัปปะจะมีรูปร่างพอๆกับเด็ก แต่ก็เป็นผีที่เอาชนะได้ยาก มันมีปากแหลมเหมือนนก ผิวเป็นเมือกลื่น อาจมีสีเขียว น้ำเงิน หรือแดง มือเป็นผังผืด ที่หลังจะมีกระดองเต่า มีขนดกทั่วตัว แขนขาของกัปปะยาว และยืดหยุ่นได้ เมื่อกัปปะขึ้นจากน้ำจะหมดฤทธิ์ จึงใส่น้ำไว้บนศีรษะที่แบนราบของตัวเอง ดังนั้นเมื่อพบเจอกับกัปปะให้ก้มคาราวะ เมื่อกัปปะคาราวะตอบ น้ำบนศีรษะจะหก ทำให้หมดฤทธิ์ และ อีกวิธี ก็คือ ให้เขียนชื่อตัวเอง ลงไปในแตงกวา แล้วขว้างลงไปในแม่น้ำ เมื่อ กัปปะ มาเจอแตงกวานี้เข้าก็จะกินอย่างเอร็ดอร่อย และ ก็จดจำชื่อ ที่อยู่บนแตงกวาด้วย คราวหน้าบังเอิญต้องเจอะเจอเจ้าของชื่อ กัปปะ ก็จะไม่ทำอันตรายอะไร ปัจจุบันมีซูชิชนิดหนึ่ง ไส้แตงกวา เรียกว่า "กัปปะ มากิ"
กัปปะมีความมั่นใจในพละกำลังตัวเองมาก มักจะท้ามนุษย์ในการแข่งซูโม่ จึงมีเรื่องเล่าว่า คนที่ฉลาดจะทำความเคารพกัปปะก่อนเริ่มการประลอง ด้วยการก้มศีรษะ แล้วกัปปะจะก้มตาม ทำให้น้ำกระฉอกออกจากจาน กัปปะจะอ่อนแรงลง และพ่ายแพ้ในที่สุด ซึ่งจะทำให้กัปปะเสียใจอย่างมาก นิสัยของกัปปะ คือ ชอบกินแตงกวา ในฤดูเก็บเกี่ยวแตงกวาของเกษตรกร ที่ญี่ปุ่นจึงมีธรรมเนียมการลอยแตงกวาลงแม่น้ำ เพื่อเซ่นวารีเทพ และทำทานให้ผีอดโซ เป็นที่มาของเรื่องเล่าที่ว่า หากชายใดแก้ผ้าลงเล่นน้ำในแม่น้ำ อาจถูกกัปปะดึงของลับ เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแตงกวาที่เอามาเซ่น กัปปะมีนิสัยที่ขี้เล่นและอยากรู้อยากเห็น ซึ่งบางครั้งก็เป็นอันตรายกับมนุษย์
กัปปะมีความอันตรายเช่นเดียวกับผีร้ายอื่นๆ มีเรื่องเล่าอยู่เสมอๆ ว่ากัปปะเคยหลอกล่อให้คนลงไปในน้ำ มักจะลากม้า หรือเด็กๆลงแม่น้ำจนจมน้ำตาย หากถูกชาวประมงจับได้ มันจะปล่อยตดออกมาป้องกันตัว ซึ่งเหม็นบรรลัย ทั้งยังมีเรื่องเล่าที่ว่า กัปปะจะคอยแอบอยู่แถวๆ ส้วม เมื่อคนเผลอมันจะแกล้งโดยใช้นิ้วสวนทวาร ซึ่งพฤติกรรมพิเรนนี้ อาจทำให้มันถูกคนจับตัวได้ แต่กัปปะมีความสุภาพอ่อนน้อมและมีสัมมาคาราวะมาก กัปปะเป็นพรายที่มีความคิดความรู้สึกผิด มันจะขอโทษโดยการจับปลามาให้ที่หน้าประตูบ้านทุกวัน หรือไม่ก็มอบยาสมุนไพรชั้นเลิศที่มันปรุงขึ้นมาให้ ซึ่งกัปปะมีความเชี่ยวชาญด้านการปรุงยาลี้ลับอย่างมาก
ความเชื่อเรื่อง กัปปะ มีกระจายไปทั่วประเทศญี่ปุ่น มีตำนานเล่าว่ามีช่างไม้ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ชื่อ ฮิดาริจินโกโร่ อ้างว่าตุ๊กตาไม้ที่เขาทำโยนลงน้ำ กลายเป็นกัปปะไป อีกตำนานก็เล่าว่า เดิมกัปปะเป็นเทพที่ดูแลแม่น้ำลำคลอง แต่เมื่อมนุษย์เลิกนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กัปปะเลยตกชั้นเป็นเพียงภูติผีธรรมดา
อาจเป็นไปได้ว่า สิ่งที่มีบุคคลเห็นปีศาจชนิดนี้ คือ สัตว์บางประเภทเช่น นาก หรือ ลิง มาก้มดื่มน้ำในเวลากลางคืนก็ได้ ปัจจุบัน เรื่องราวของกัปปะถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ ละคร หรือการ์ตูนต่าง ๆ มากมาย เช่น ตัวละคร ซูเนโอะ ในเรื่องโดราเอมอน ก็นำมาจากกัปปะนั่นเอง โดยมากแล้ว กัปปะ ที่ปรากฏตามสื่อต่าง ๆ นั้น มักจะไม่มีภาพของความน่ากลัวหรือเป็นอันตราย ซึ่งต่างไปจากความเชื่อดั้งเดิม

แวมไพร์

แวมไพร์ (อังกฤษ: Vampire) ผีชนิดหนึ่งตามความเชื่อของชาวยุโรป ในยุคกลาง เชื่อว่าเป็นผีดิบ ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่มีฟันแหลมคม ดื่มเลือดของมนุษย์ด้วยกันเป็นอาหารเพื่อหล่อเลี้ยง โดยที่แวมไพร์จะมีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย จะปรากฏตัวได้แต่เฉพาะเวลากลางคืน เพราะกลางวันแพ้แสงแดด แวมไพร์จะหลบซ่อนอยู่ในโลงของตนหรือในหลุมในเวลากลางวัน สามารถแปลงร่างได้หลายแบบ เช่น ค้างคาว, นกฮูก, หมาป่า, กบ, คางคก, แมลงเม่า, งูพิษ เป็นต้น สามารถกำบังกายหายตัวได้ ไม่มีเงาเมื่อกระทบกับแสงหรือสะท้อนในกระจก มีแรงมากเหมือนผู้ชาย 20 คน สิ่งที่จะกำราบแวมไพร์ได้คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา เช่น ไม้กางเขน, น้ำมนตร์ หรือแม้กระทั่งสมุนไพรกลิ่นแรงบางชนิด เช่น กระเทียม วิธีฆ่าแวมไพร์มีมากมาย เช่น ตอกลิ่มให้ทะลุหัวใจ เผา หรือ ตัดหัวด้วยจอบของสัปเหร่อ บุคคลที่ตกเป็นเหยื่อของมัน จะกลายเป็นแวมไพร์ไปด้วย และกลายเป็นสาวกของแวมไพร์ตนที่ดูดเลือดตัวเอง
ชาวยุโรปในยุคกลางนั้น หวาดกลัวแวมไพร์มาก ผู้ที่สงสัยว่าเป็นแวมไพร์ จะตกอยู่ในสถานะเดียวกับแม่มด หรือ มนุษย์หมาป่า คือ ถูกตัดสินลงโทษด้วยการเอาถึงชีวิต มีวิธีการป้องกันการรุกรานของแวมไพร์หลายวิธี เช่น บางหมู่บ้านจะโปรยเมล็ดข้าวไว้บนหลังคาบ้าน เพราะเชื่อว่าแวมไพร์จะง่วนกับการนับเมล็ดข้าวเป็นการถ่วงเวลาจนรุ่งเช้า หรือ โรยเศษขนมปังไว้ตั้งแต่สุสานให้แวมไพร์เดินเก็บเศษขนมนั้นวนเวียนไปมา หรือแม้แต่การวางไม้กางเขนหรือดอกกุหลาบที่มีหนามแหลมเพื่อเป็นการพันธนาการ ไว้ในโลง
เรื่องราวของผีแวมไพร์ มีมากมาย ที่เป็นนิทานพื้นบ้านและวรรณกรรม โดยวรรณกรรมที่ว่าถึงแวมไพร์ที่เก่าแก่ที่สุด มีมาตั้งแต่สมัยโรมัน วรรณกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดของแวมไพร์คือ เรื่องแดรกคูลา ของ บราม สโตกเกอร์ ที่โด่งดังจนมีการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ละคร ละครเวที หรือแม้แต่กระทั่งภาพยนตร์การ์ตูนมากมายตราบจนปัจจุบัน เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Nosferatu : A Symphony of Horror ในปี ค.ศ. 1922 เป็นต้น
เป็นไปได้ว่าความเชื่อเรื่องของแวมไพร์ที่สามารถแปลงร่างเป็นค้างคาวได้ อาจมีที่มาจากที่ภูมิภาคอเมริกากลางและทวีปอเมริกาใต้ มีค้างคาวขนาดเล็กจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ Desmodontinae มีพฤติกรรมดูดเลือดสัตว์ที่ใหญ่กว่าเป็นอาหารในเวลากลางคืน ซึ่งค้าวคาวในวงศ์นี้ก็ได้มีการเรียกชื่อสามัญว่า แวมไพร์ เช่นกัน


ไททานิก



RMS Titanic 3.jpg
เรือไททานิก
ประวัติ
ชื่อเรือ: อาร์เอ็มเอส ไททานิก (RMS Titanic) [1]
เจ้าของ: White Star flaga.svg บริษัทไวท์ สตาร์ ไลน์ (White Star Line) [1]
จดทะเบียนที่: Liverpool
เส้นทางเดินเรือ: เบลฟัสต์ - ควีนส์ทาวน์ (ท่าเรือโคบห์) - แชร์บรูก - เซาแธมป์ตัน - นิวยอร์ก
สั่งต่อเรือ: 31 กรกฎาคม ค.ศ. 1908[1]
ต่อขึ้นที่: อู่ต่อเรือ ฮาร์แลนด์ แอนด์ วูลฟฟ์ ในควีนส์ ไอแลนด์ เมืองเบลฟัสต์ ไอร์แลนด์เหนือ ประเทศอังกฤษ[1]
งบประมาณ: 1.75 ล้านปอนด์ (ในปี ค.ศ. 1912) หรือประมาณ 650-900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ในยุคปัจจุบัน)
เลขที่อู่ต่อเรือ: 401[2]
วางกระดูกงู: 31 มีนาคม ค.ศ. 1909[1]
ปล่อยลงน้ำ: 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1911[1] เวลา 10.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น
พิธีตั้งชื่อเรือ: ไม่มี
สร้างเสร็จ: 1 เมษายน ค.ศ. 1912
เดินทางครั้งแรก: 10 เมษายน ค.ศ. 1912[1]
รหัสประจำเรือ: สัญญาณเรียกขาน "MGY"[3]
ตัวเลขทางราชการของอังกฤษ : 131428
จุดจบ: ชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็ง ใน วันเสาร์ที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1912 เวลา 23.40 น. ตามเวลาท้องถิ่น อัปปางลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ใน วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1912 เวลา 02.20น.[1]
ลักษณะเฉพาะ
ชั้น: ตระกูลโอลิมปิก
ขนาด (ตัน): 46,428 ตันเนจ[3]
ขนาด (ระวางขับน้ำ): 52,310 ตัน[2]
ความยาว: ความยาวตลอดลำ 883 ฟุต 9 นิ้ว[3] ยาวกว่าเรือโอลิมปิก 3 นิ้ว[4]
ความกว้าง: วัดที่แนวน้ำกลางลำเรือ 92 ฟุต 6 นิ้ว[4]
ความสูง: วัดจากแนวน้ำถึงดาดฟ้าเรือบด 60ฟุต 6 นิ้ว และวัดจากกระดูกงูถึงปลายปล่องไฟ 175 ฟุต
กินน้ำลึก: วัดจากกลางท้องเรือถึงแนวน้ำ 34 ฟุต 7 นิ้ว[1]
ความลึก: 64 ฟุต 6 นิ้ว (19.7 เมตร) [4]
ดาดฟ้า: 10 ชั้น; 7 ชั้นสำหรับผู้โดยสาร, 3 ชั้นสำหรับลูกเรือ โดยมี Sun deck, Boat (ชั้น เอ), Promenade (ชั้น บี), decks ซี-จี, ชั้นท้องเรืออีก 2 ชั้น (เป็นพื้นที่สำหรับหม้อน้ำ, เชื้อเพลิง, เครื่องยนต์, ห้องผนึกน้ำ, ประตูกั้นน้ำ หรือพื้นทีสำหรับเพลาใบจักร เป็นต้น)
เครื่องยนต์: 2 ชุดเครื่องยนต์ 4 กระบอกสูบไอน้ำ Triple Expansion ขับเคลื่อนโดยตรงกับใบจักรข้างซ้าย-ขวา ให้กำลัง 30,000 แรงม้า 75 รอบ/นาที และไอน้ำความดันต่ำที่ผ่านการใช้เครื่องยนต์กระสอบสูบทั้งสองชุดเข้าสู่ เครื่องยนต์เทอร์ไบน์ขับเคลื่อนผ่านชุดเกียร์สู่ใบจักรกลาง ให้กำลัง 16,000 แรงม้า 165 รอบ/นาที
[5]
ใบจักร: 3 ใบ ทำจากสัมฤทธิ์ โดยใบจักรกลางขนาด 16 ฟุต ดุมใบจักรเป็นกรวยครอบ พวงใบจักรมี 4 ใบ และใบจักรข้างทั้งสอง ขนาด 23 ฟุต 6 นิ้ว ไม่มีกรวยครอบที่ดุม พวงใบจักรมี 4 ใบ[3]
ความเร็ว:
  • ความเร็วเรือออกแบบ: 20-23 นอต[1]
  • ความเร็วสูงสุด: ไม่เคยทดสอบอย่างจริงจัง คาดว่าประมาณ 21 นอต[3]
ความจุ:
  • แบบพักเดี่ยว 1,324 คน (ชั้นหนึ่ง 329 คน ชั้นสอง 285 คน และชั้นสาม จำนวน 710 คน) และสามารถปรับเปลี่ยนเป็นพักแบบคู่ในบางห้องได้เป็น 2,435 คน[3] ( ชั้นหนึ่ง 735 คน, ชั้นสอง 674 คน และชั้นสาม 1,026 คน )
  • ความจูสูงสุด: 3,547 คน
ลูกเรือ: 860 คน[1]
อาร์เอ็มเอส ไททานิก (อังกฤษ: RMS Titanic) หรือ โรยาล เมล ชิป ไททานิก (อังกฤษ: Royal Mail Ship Titanic) คือ ชื่อเรือเดินสมุทรของบริษัทไวท์ สตาร์ ไลน์ (อังกฤษ: White Star Line) เริ่มก่อสร้างเมื่อ ค.ศ. 1909 สร้างเสร็จเมื่อ ค.ศ. 1911 ที่เบลฟาสท์, ไอร์แลนด์ พร้อม ๆ กับเรือคู่แฝดที่ชื่อว่า อาร์เอ็มเอส โอลิมปิก (อังกฤษ: RMS Olympic) ซึ่งเบากว่าไททานิกถึง 1,000 ตัน[6] ซึ่งครั้งหนึ่งเรือคู่นี้เคยเป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก
นาค หรือ พญานาค เป็นความเชื่อในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเรียกชื่อต่าง ๆ กัน แต่มีลักษณะร่วมกัน คือ เป็นงูขนาดใหญ่มีหงอน เป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสู่จักรวาลอีกด้วย
ต้นกำเนิดความเชื่อเรื่องพญานาคน่าจะมาจากอินเดีย ด้วยมีปกรณัมหลายเรื่องเล่าถึงพญานาค โดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ นาคถือเป็นปรปักษ์ของครุฑ ส่วนในตำนานพุทธประวัติ ก็เล่าถึงพญานาคไว้หลายครั้งด้วยกัน
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านในภูมิภาคนี้มักเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาล และเชื่อกันว่าเคยมีคนเคยพบรอยพญานาคขึ้นมาในวันออกพรรษาโดยจะมีลักษณะคล้ายรอยของงูขนาดใหญ่
ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี 7 สี เหมือนสีของรุ้ง และที่สำคัญคือนาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร นาคจำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช (อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียรสมุทร อนันตนาคราชนั้น เล่ากันว่ามีกายใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด มีพันศีรษะ พญานาคนั้นมีทั้งเกิดในนำและบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่างสวยงาม

เยติ

เยติ (อังกฤษ: Yeti) หรือ มนุษย์หิมะ (อังกฤษ: The Abominable Snowman) [1] เยติ เป็นชื่อที่ใช้เรียกสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่ง ในความเชื่อของชาวเชอร์ปา ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่แถบเทือกเขาหิมาลัย ในประเทศเนปาลและธิเบต โดยเชื่อว่าเยติ เป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่คล้ายมนุษย์ผสมกับลิงไม่มีหางคล้าย กอริลลา มีขนยาวสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลดำปกคลุมทั้งลำตัว โดยปรกติแล้ว เยติเป็นสัตว์ที่มีนิสัยสงบเสงี่ยม แต่อาจดุร้ายโจมตีใส่มนุษย์และสัตว์เลี้ยงได้ในบางครั้ง
เยติ ปรากฏอยู่ในวัฒนธรรมของชาวเชอร์ปามาอย่างช้านาน โดยถูกกล่าวถึงในนิทานและเพลงพื้นบ้าน และเรื่องเล่าขานต่อกันมาถึงผู้ที่เคยพบมัน นอกจากนี้แล้วยังปรากฏในศิลปะของพุทธศาสนานิกายมหายานแบบธิเบต โดยปรากฏเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังในวัดลามะอายุกว่า 300 ปี และปัจจุบันนี้ ก็มีสิ่งที่เชื่อว่าเป็นหนังศีรษะของ เยติถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในวัดลามะแห่งหนึ่งในคุมจุง ซึ่งนับว่าเยติเป็นสัตว์ที่ถูกกล่าวอ้างถึงยาวนานกว่าสัตว์ประหลาดที่มี ลักษณะคล้ายกันชนิดอื่นที่พบในอีกซีกโลก เช่น บิ๊กฟุต หรือ ซาสควอทช์
นอกจากคำว่าเยติแล้ว ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ ที่เรียกเยติ เช่น เธลม่า (Thelma), แปลว่า "ชายตัวเล็ก" เชื่อว่ามีนิสัยรักสงบ ชอบสะสมกิ่งไม้และชอบร้องเพลงขณะที่เดินไป, ดซูท์เทห์ (Dzuteh) เป็นเยติขนาดใหญ่ มีขนหยาบกร้านรุงรัง มีนิสัยดุร้ายชอบโจมตีใส่มนุษย์, มิห์เทห์ (Mith-teh) มีนิสัยคล้ายดซูท์เทห์ คือ ดุร้าย มีขนสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลดำ, เมียกา (Mirka) แปลว่า "คนป่า" เชื่อว่าหากมันพบเห็นสิ่งใดไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ มันจะทำร้ายจนถึงแก่ความตาย, คัง แอดมี (Kang Admi) แปลว่า "มนุษย์หิมะ" และ โจบราน (JoBran) แปลว่า "ตัวกินคน" เป็นต้น
ซึ่งเรื่องราวของเยติที่โจมตีใส่มนุษย์นั้น ได้ถูกทำเป็นรายงานส่งไปยังเมืองกาฐมาณฑุ เมืองหลวงของเนปาล ซึ่งปากคำของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อถูกบันทึกโดยอาสาสมัครชาวอเมริกันที่ทำงานในเนปาล โดยผู้ถูกทำร้ายเป็น เด็กหญิงชาวเชอร์ปาคนหนึ่ง โดยเธอบอกว่าขณะกำลังนำจามรีไปดื่มน้ำที่ลำธาร เยติตัวหนึ่งก็โผล่มาทำร้ายเธอ แต่เธอกรีดร้องลั่น จนมันปล่อยเธอ และหันไปทำร้ายจามรีของเธอจนมันถึงแก่ความตายด้วยการบิดเขาและหักคอ
ดร.บิสมาวอย บิสมาก นักสัตววิทยาชาวอินเดียกำลังศึกษาสิ่งที่เชื่อว่าเป็นหนังศีรษะของเยติ
เรื่องราวเยติเป็นที่สนใจของชาวตะวันตก เมื่อชาวตะวันตกได้เข้ามาบุกเบิกและยึดครองดินแดนแถบนี้ ได้มีการตามล่าและค้นคว้าเกี่ยวกับเยติ ซึ่งก็ได้พบกับหลักฐานการมีอยู่ของเยติมากมาย ทั้ง รอยเท้า, ขนและมูล และแม้กระทั่งประจักษ์พยานที่เคยได้พบเห็น ซึ่งโดยมากเป็นนักปีนเขา ซึ่งหลักฐานส่วนใหญ่ได้ถูกบันทึกไว้เป็นรูปถ่าย โดยรูปถ่ายของรอยเท้าเยติรูปแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1921 โดยถ่ายไว้ได้ในระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 5,029 เมตร
มีผู้ตั้งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับเยติไว้มากมาย เช่น เชื่อว่ามันอาจเป็นสัตว์ชนิดอื่นที่อาศัยอยู่แถบเทือกเขานี้ เช่น หมีสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นหมีชนิดหนึ่งที่หาได้ยากมาก, เสือดาวหิมะ, อีกาปากแดง ที่มักจะทิ้งรอยเท้าไว้บนพื้นหิมะด้วยการกระโดด หรือแม้แต่เป็นชะนีขนาดใหญ่ แต่มีนักสัตววิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับรอยเท้าของเยติ กล่าวว่า รอยเท้าของเยติบ่งว่า เยติมีเท้าที่ไม่เหมือนกับหมีหรือสัตว์ชนิดอื่นใดเลย นอกจากสัตว์ในอันดับไพรเมทอันเป็นอันดับเดียว กับ มนุษย์ และลิงไม่มีหาง แต่มีสิ่งที่แปลกออกไปคือ นิ้วเท้านิ้วที่ 2 มีขนาดใหญ่ และมีกระดูกอุ้งเท้าที่สั้นผิดปกติ ดูคล้ายกับเท้าของลิงยุคก่อนประวัติศาสตร์ขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gigantopithecus จึงทำให้เชื่อได้ว่า เยติอาจเป็นลิงชนิดนี้ที่เคยเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้วก็เป็นได้ นอกจากนี้แล้วยังได้ข้อสรุปว่า เยติเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีโครงสร้างของร่างกายใหญ่และหนาทึบ และเดินด้วยสองขาหลังเหมือนมนุษย์
ในปี ค.ศ. 1960 เซอร์เอดมันด์ ฮิลลารี ผู้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้เป็นคนแรกของโลก ได้กลับมายังเทือกเขาหิมาลัยอีกครั้ง พร้อมด้วยอุปกรณ์และลูกหาบมากมายเพื่อค้นหาเยติ แต่ทว่ากว่า 10 เดือนที่เขาต้องทนหนาวอยู่ที่นี่ ฮิลาลารีไม่ได้พบเจอเยติเลย เขาหัวเสียมากและประกาศลั่นว่า เยติไม่มีอยู่จริง
จากชื่อเสียงและปริศนาของเยติ ส่งผลให้มันกลายเป็นสิ่งที่มีค่าในเชิงการค้า จนเสมือนเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของประเทศเนปาล และเทือกเขาหิมาลัย เช่น สายการบินประจำชาติของเนปาลที่ชื่อ เยติแอร์ไลน์ และเป็นของโรงแรมชื่อ Yak and Yeti เป็นต้น (Yak หมายถึง จามรี)
นอกจากนี้แล้วยังปรากฏในวัฒนธรรมร่วมสมัยหลายอย่าง เช่น เป็นตัวละครในเกมคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เช่น Diablo II, World of Warcraft และเป็นตัวละครตัวหนึ่งในภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง The Mummy: Tomb of the Dragon Emperor ที่ออกฉายในปี ค.ศ. 2008 เป็นต้น

เซอร์เบอรัส

สัตสัตว์ร้ายแห่งเชโวดอง


                เมื่อปี ค.ศ.1764 ที่เมืองเ
ตำนานสัตว์ประหลาด
เซอร์เบอรัส หรือ เคอร์เบอรอส (อังกฤษ: Cerberus ; กรีก: Κέρϐερος (Kerberos) แปลว่า ปีศาจในหลุม) เป็นสัตว์ในเทพปกรณัมกรีก มีรูปร่างเป็นสุนัขสีดำใหญ่โตพ่วงพี มี 3 หัว ปลายสุดของหางเป็นงู (บางตำนานว่าเป็นหางมังกร) เซอร์เบอรัสมีหน้าที่เฝ้าทางลงสู่นรกที่หน้าประตูทางเข้า ตรุทาร์ทะรัส
เซอร์เบอรัสเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของฮาเดส (Hades) มันจะยอมให้วิญญาณของคนทุกคนเข้าประตู แต่จะไม่ยอมให้กลับออกมาเป็นอันขาด เมื่อไปถึงประตูนี้ วิญญาณแต่ละดวงจะถูกพาไปรับคำพิพากษาของ สามเทพสุภาคือ ราดาแมนทีส ,ไมนอส และ ไออาคอส. วิญญาณที่ชั่วร้ายจะถูกพิพากษาให้ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในตรุทาร์ทะรัสไปชั่ว กัลป์ ส่วนวิญญาณที่ดีจะได้รับคำพิพากษาให้พาไปอยู่ยัง ทุ่งอีลิเซียน แดนสุขาวดีของกรีก
เซอร์เบอรัสยังเป็นภาระกิจที่ 12 ของเฮราคลีสอีกด้วย เรื่องราวก็เนื่องจาก เทพีเฮรากลั่นแกล้งให้เฮราคลีสวิกลจริต และทำความผิดหลาย อย่าง เช่น ฆ่าทายาทของตัวเอง, เฮราคลีสจึงต้องรับโทษ โดยให้อยู่ใต้อำนาจของกษัตริย์ที่อ่อนแอ เป็นเวลาถึง 12 ปี และต้องทำภาระกิจ 12 ประการให้เสร็จสมบูรณ์ จึงจะพ้นโทษ ภารกิจ 12 ประการนั้น ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการพิชิตปีศาจ หรือไม่ก็สยบสัตว์อิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ การจับเซอร์เบอรัสมาให้กษัตริย์ของเขาก็เป็นหนึ่งในภาระกิจด้วย และเฮราคลีสก็สามารถจับเซอร์เบอรัสได้ด้วยพลังอันมหาศาลของเขา นอกจากเฮราคลีสแล้ว ออร์ฟิอุสเคยใช้เสียงเพลงสะกดเซอร์เบอรัสให้เชื่องขณะเข้าไปในยมโลกเพื่อคืน ชีพให้คนรัก ในตำนานของโรมัน ไซคีได้ทำให้เซอร์เบอรัสหลับด้วยเค้กน้ำผึ้งใส่ยานอนหลับ

เซอร์เบอรัส (ปุกปุย) นิยายชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์แม่ของเซอร์เบอรัสเป็นอสุรกายชื่อ อีคิดน่า (กรีก: Echidna) เป็นพี่น้องของพวกกอร์กอนส์ทั้งสาม อีคิดน่ารูปร่างหน้าตาสวยงามเฉพาะท่อนบน แต่ท่อนล่างลงมาเป็นงูยักษ์มหึมา และได้มามีสัมพันธ์กับอสุรกายอีกตนหนึ่งคือ ไทฟอน (Typhon) ซึ่งลูกๆของไทฟอนและอีคิดน่าล้วนแต่เป็นสัตว์ประหลาดดุร้าย นอกจากเซอร์เบอรัสแล้วก็คือ ไฮดรา, ออทรัส, สิงโตเนเมีย, ไคเมร่า และ สฟิงซ์ แต่นอกจากเซอร์เบอรัสซึ่งได้เป็นสัตว์เลี้ยงของฮาเดสแล้ว พี่น้องทั้งหมดของเซอร์เบอรัสก็ถูกวีรบุรุษในตำนานกรีกสังหารเสียสิ้น

นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อว่า นาเบเรียส (Naberius) มาควิสแห่งนรกผู้ช่ำชองในศาสตร์ต่างๆโดยเฉพาะการปลุกภูติผีและเป็นหนึ่งใน 72 ปิศาจซึ่งกล่าวถึงในบท อาร์สโกเอเทีย (Ars Goetia) ของตำรา กุญแจย่อยของโซโลมอน (The Lesser Key of Solomon) ก็คือเซอร์เบอรัสนั่นเอง
ในนิยายและวีดิโอเกม ดิจิตัลเดวิล โมโนกาตาริ: เมกามิเทนเซย์ เซอร์เบอรัสเป็นปิศาจที่อาเคมิ นาคาจิมะ ตัวเอกของเรื่องเรียกมาช่วยในการต่อสู้กับโลกิ และในเกมภาคต่อ ๆ มามักมีเซอร์เบรัสเป็นผู้ช่วยสำคัญเสมอ รูปแบบของเซอร์เบอรัสในเมกามิเทนเซย์ นอกจากที่เป็นสุนัขสามหัวแล้วบางครั้งยังปรากฏตัวเป็นสิงโตสีขาวที่มีหาง เรียวยาวเป็นปล้องในเซนต์เซย่า เซอร์เบรัสเป็นสุนัขเฝ้านรกขุมที่ 2 ที่มี สฟิงซ์ ฟาโรห์ เป็นผู้ดูแล เซอร์เบรัสมีหน้าที่กัดกินคนตายเป็นการลงโทษ เมื่อเซอร์เบรัสได้พยายามกินเพกาซัส เซย่า แต่กินไม่ลงเพราะเซย่ายังไม่ตาย และถูกปราบด้วยโซ่ของอันโดรเมด้า ชุน
ชโวดอง รัฐ Auvergne ซึ่งเป็นย่านภูเขาอยู่ในทางภาคกลางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส เวลานั้นเป็นช่วงที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ครองบัลลังก์อยู่พอดิบ พอดี

จู่ๆ ในเวลานั้นได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดที่โลก(ไม่)ตะลึงเกิดขึ้น มีสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้ว่ามันเป็นตัวอะไรกันแน่  ออก อาละวาดไล่ฆ่าผู้คนตายไปหลายราย ไม่มีใครรู้เลยว่าเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้มาจากที่ไหนเพราะจู่ๆ มันก็ปรากฏตัวขึ้นมาเหมือนออกจากนรกงั้นแหละ มันทำร้ายมนุษย์และจับสัตว์เลี้ยงไปกินมากมาย ทั้งยังฆ่าผู้คนในเมืองนั้นไปมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและสตรีที่อ่อนแอ

จากสถิติตามคำบอกเล่าเค้าว่าเจ้าอสูรร้ายตัวนี้ได้ปลิดชีพมนุษย์ไปมากกว่า 100 คน และบาดเจ็บอีกว่า 30 คน นับว่ามันน่ากลัวพอสมควรเลย

ส่วนจำนวนของสัตว์ร้าย ตัวนี้มีจำนวนไม่แน่ชัดแต่คาดว่ามันน่าจะมีตัวเดียว และรูปร่างมันมีลักษณะตามคำบอกเล่าของผู้พบเห็น ไม่ตรงกันสักราย แต่ก็พอสรุปว่า
 
มัน เหมือนหมาป่าตัวโตๆ เกือบเท่ากับวัว หัวโตมาก จมูกยาวแหลมและยื่น ขนสีเทา หูสั้นและฟันใหญ่ กรงเล็บขนาดใหญ่แหลมคมและหางยาว ดูเผินๆ แล้วมันก็ดูเหมือนป่าหมาตัวโตๆ ที่โตมาก แต่พิเศษที่ต่างจากหมาป่าทั่วไปคือ เจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้เดินได้ด้วย 2 ขาหลัง !! เหมือนมนุษย์ ไม่มีผิด เคยมีรายงานการพบเห็นที่ว่ามันเดิน 2 ขาและยกแกะไว้ได้ด้วยมือข้างนึง แสดงว่า พละกำลังของมันมีมากกว่าคน (อันหลังน่าจะโม้มากกว่า)

ส่วน มากรายงานการทำสัตว์ร้ายตัวนี้ทำร้ายผู้คนจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในป่า หรือไม่ก็ทางเดินผ่านระหว่างป่าที่ผู้คนจำเป็นต้องใช้สัญจรไปมา(สมัยก่อน ฝรั่งเศสยังเป็นป่าเขานี้)  จนผู้คนหวาดกลัวไม่กล้าใช้ทางเดินที่ต้องผ่านป่าหรือแม้แต่เฉียดกรายเข้าไปใกล้

แน่นอนว่าจะต้องมีการล่าตัว สัตว์ร้าย นี้เกิดขึ้น โดยพรานจากทั่วทุกสารทิศต่างพากันมายังที่เมืองเชโวดอง เพื่อตามล่ามัน แต่ก็กลับบ้านด้วยมือเปล่าด้วยความผิดหวัง

อองตวน เดอ โบแตร์น (Antoine de Beauterne)เจ้ากรมพรานหลวงและคณะจึงขออาสาล่ามัน แต่ โห! กว่าจะได้ล่ามัน ต้องเดินทางไกลนับสิบกิโล ฝ่าภูมิประเทศที่แสนเลวร้าย อีกทั้งไม่ได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านกับเจ้าเมืองอีก จนกระทั้งเขาก็สามารถยิงสัตว์ที่คาดว่าเป็น สัตว์ร้าย ได้สำเร็จ ตัวมันทั้งใหญ่และยาวกว่า 1.80 เมตร และเอาซากศพนั้นไปถวายให้พระเจ้าหลุยส์ทอดพระเนตร

แต่แล้ว ธันวาคม 1765 ชาวบ้านที่นั้นก็ถูก สัตว์ร้าย กลับมาทำร้ายอีก คาดว่าตัวที่อองตวนฆ่าก่อนน่านั้นอาจไม่ใช้ สัตว์ร้าย ตัวจริง
 
ปี 1767 ชาวบ้านไม่ไว้ใจพวกราชสำนักอีกแล้ว จึงรวมตัวกันออกล่าเจ้า สัตว์ร้าย ตัวนั้น แต่กว่าจะล่ามันได้ ก็รอเป็นเดือนๆ จนกระทั้งวันที่ 19 มิถุนายน สัตว์ร้าย ได้โผล่มาใกล้ๆ ลา ซอญ โดแวร์ ใกล้ป่าเตนาเซอเยร นายพรานคนหนึ่งชื่อ ชอง ชาลเตล ที่กำลังอ่านหนังสือพระอยู่ เมื่อเห็นจึงจัดการเป่ามันด้วยปืนคาบสิลา ก่อนที่นำซาก สัตว์ร้าย ตัวนั้นไปยังปราสาทเจ้าเมือง ทำการสตั๊ฟและไปถวายพระเจ้าหลุยส์อีกเป็นครั้งที่สอง แต่คราวนี้ซากของมันเกิดการเน่าเพราะสตั๊ฟไว้ไม่ดี รูปร่างก็เปลี่ยนไปมาก พระเจ้าหลุยส์จึงไปฝังเสีย

เป็นอันไม่รู้เลยว่า มันใช่ สัตว์ร้ายแห่งเชโวดองจริงหรือไม่? อีกทั้งยังมีผู้คนที่สงสัยอีกว่าตัวที่นาย ชอง ชาลเตล ได้ฆ่าไปแล้วนั้นมันใช่เจ้าเชโวดองหรือเปล่า? เพราะจากรูปร่างลักษณะแล้วไม่ตรงกันกับผู้ที่เคยเห็นสัตว์ร้ายนี่มาก่อน พูดง่ายๆ ก็คือ มันต่างกันนั่นเอง

ไม่รู้ว่ามันคือ สัตว์ร้าย ตัวจริงหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เจ้าสัตว์ร้าย ก็ไม่มาอาละวาดให้ผู้คนในเชโวดองอีกแล้ว ตลอดกาล..........

แต่.......................
 
เรื่องนี้ยังไม่จบ แม้เหตุร้ายจะผ่านไปนานนับศตวรรษแล้ว แต่พวกนักคติชาวบ้านศึกษา และนักสัตว์ลึกลับวิทยา ก็ยังศึกษาว่าแท้จริงแล้ว สัตว์ร้าย ตัวนี้มันเป็นตัวอะไรกันแน่ และแล้วข้อสันนิษฐานก็เกิดขึ้นแบบเถียงกันไม่รู้จบ

ตัวอย่าง

ปี 1765 นายเชร์แว ฟรัวซัวมาเญ นักล่าสัตว์แต่ใฝ่ศึกษา ได้รวบรวมข้อมูลและบันทึกไว้ สรุปเองว่า มันน่าจะเป็นไฮยีน่าที่หลุดออกจากสวนสัตว์ของกัตริย์แห่งวาร์ดิเนีย(ภายหลังพบว่าไม่มีสวนสัตว์ที่ว่านั้นที่เชโวดอง)

ปี 1936 อ าเบล เชวายี นักแต่งนิยายที่เคยเอาเรื่องสัตว์ร้ายเชโวดองไปแต่งนิยายโดยให้ซอง ชาลเตล เป็นพระเอก ให้ความเห็นว่ามันน่าจะเป็นไฮยีน่าโบราณ

                เชล เมอร์เก นักคติชาวบ้านวิทยา บอกว่า มันแค่หมาป่าธรรมดา แต่นิสัยแค่เหมือนไฮยีน่าแค่นี้แหละ)

                ปี 1819 ฟรานซ์ ชูเลียง นักสตั๊ฟสัตว์ของพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติออกมาอ้างว่าเขาพบซาก สัตว์ร้ายตัวนั้น และทำการตรวจสอบพบว่ามันคือ ไฮยีนาลาย (แต่ไม่มีรูปมายืนยัน)

นอกจากนิยาย สัตว์ร้ายแห่งชโวดอง นี้ได้กลายเป็นบทละครด้วย ในปี 1809 เนื้อเรื่อง มีอยูว่าเสนาบดีกังฉินแห่งเชแวนสมคบคิดนายพลช่วยอยากหักหลังเจ้านายตน จึงปล่อยสัตว์ร้ายจากแดนไกลที่เชโวดอง เพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจผิด และรุกขึ้นต่อต้านเจ้านายของนายพล   

นอกจากนี้สัตว์ร้ายแห่งเชโวดองจะเป็นอนุสารณ์อีกน่ะครับ (ที่ไหนก็ไม่สิ)

ฯลฯ

แต่ ก็นะครับ หลังจากนั้นเป็นต้นมาข่าวคราวและข่าวลือของเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้ก็ได้เลือน หายไปตามกาลเวลา ทิ้งไว้แต่เรื่องเล่า ที่เป็นตำนานหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ของ เชโวดอง ณ ประเทศฝรั่งเศสและเล่าขานต่อกันมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้
ว์ร้ายแห่งเชโวดอง


                เมื่อปี ค.ศ.1764 ที่เมืองเชโวดอง รัฐ Auvergne ซึ่งเป็นย่านภูเขาอยู่ในทางภาคกลางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส เวลานั้นเป็นช่วงที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ครองบัลลังก์อยู่พอดิบ พอดี

จู่ๆ ในเวลานั้นได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดที่โลก(ไม่)ตะลึงเกิดขึ้น มีสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้ว่ามันเป็นตัวอะไรกันแน่  ออก อาละวาดไล่ฆ่าผู้คนตายไปหลายราย ไม่มีใครรู้เลยว่าเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้มาจากที่ไหนเพราะจู่ๆ มันก็ปรากฏตัวขึ้นมาเหมือนออกจากนรกงั้นแหละ มันทำร้ายมนุษย์และจับสัตว์เลี้ยงไปกินมากมาย ทั้งยังฆ่าผู้คนในเมืองนั้นไปมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและสตรีที่อ่อนแอ

จากสถิติตามคำบอกเล่าเค้าว่าเจ้าอสูรร้ายตัวนี้ได้ปลิดชีพมนุษย์ไปมากกว่า 100 คน และบาดเจ็บอีกว่า 30 คน นับว่ามันน่ากลัวพอสมควรเลย

ส่วนจำนวนของสัตว์ร้าย ตัวนี้มีจำนวนไม่แน่ชัดแต่คาดว่ามันน่าจะมีตัวเดียว และรูปร่างมันมีลักษณะตามคำบอกเล่าของผู้พบเห็น ไม่ตรงกันสักราย แต่ก็พอสรุปว่า
 
มัน เหมือนหมาป่าตัวโตๆ เกือบเท่ากับวัว หัวโตมาก จมูกยาวแหลมและยื่น ขนสีเทา หูสั้นและฟันใหญ่ กรงเล็บขนาดใหญ่แหลมคมและหางยาว ดูเผินๆ แล้วมันก็ดูเหมือนป่าหมาตัวโตๆ ที่โตมาก แต่พิเศษที่ต่างจากหมาป่าทั่วไปคือ เจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้เดินได้ด้วย 2 ขาหลัง !! เหมือนมนุษย์ ไม่มีผิด เคยมีรายงานการพบเห็นที่ว่ามันเดิน 2 ขาและยกแกะไว้ได้ด้วยมือข้างนึง แสดงว่า พละกำลังของมันมีมากกว่าคน (อันหลังน่าจะโม้มากกว่า)

ส่วน มากรายงานการทำสัตว์ร้ายตัวนี้ทำร้ายผู้คนจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในป่า หรือไม่ก็ทางเดินผ่านระหว่างป่าที่ผู้คนจำเป็นต้องใช้สัญจรไปมา(สมัยก่อน ฝรั่งเศสยังเป็นป่าเขานี้)  จนผู้คนหวาดกลัวไม่กล้าใช้ทางเดินที่ต้องผ่านป่าหรือแม้แต่เฉียดกรายเข้าไปใกล้

แน่นอนว่าจะต้องมีการล่าตัว สัตว์ร้าย นี้เกิดขึ้น โดยพรานจากทั่วทุกสารทิศต่างพากันมายังที่เมืองเชโวดอง เพื่อตามล่ามัน แต่ก็กลับบ้านด้วยมือเปล่าด้วยความผิดหวัง

อองตวน เดอ โบแตร์น (Antoine de Beauterne)เจ้ากรมพรานหลวงและคณะจึงขออาสาล่ามัน แต่ โห! กว่าจะได้ล่ามัน ต้องเดินทางไกลนับสิบกิโล ฝ่าภูมิประเทศที่แสนเลวร้าย อีกทั้งไม่ได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านกับเจ้าเมืองอีก จนกระทั้งเขาก็สามารถยิงสัตว์ที่คาดว่าเป็น สัตว์ร้าย ได้สำเร็จ ตัวมันทั้งใหญ่และยาวกว่า 1.80 เมตร และเอาซากศพนั้นไปถวายให้พระเจ้าหลุยส์ทอดพระเนตร

แต่แล้ว ธันวาคม 1765 ชาวบ้านที่นั้นก็ถูก สัตว์ร้าย กลับมาทำร้ายอีก คาดว่าตัวที่อองตวนฆ่าก่อนน่านั้นอาจไม่ใช้ สัตว์ร้าย ตัวจริง
 
ปี 1767 ชาวบ้านไม่ไว้ใจพวกราชสำนักอีกแล้ว จึงรวมตัวกันออกล่าเจ้า สัตว์ร้าย ตัวนั้น แต่กว่าจะล่ามันได้ ก็รอเป็นเดือนๆ จนกระทั้งวันที่ 19 มิถุนายน สัตว์ร้าย ได้โผล่มาใกล้ๆ ลา ซอญ โดแวร์ ใกล้ป่าเตนาเซอเยร นายพรานคนหนึ่งชื่อ ชอง ชาลเตล ที่กำลังอ่านหนังสือพระอยู่ เมื่อเห็นจึงจัดการเป่ามันด้วยปืนคาบสิลา ก่อนที่นำซาก สัตว์ร้าย ตัวนั้นไปยังปราสาทเจ้าเมือง ทำการสตั๊ฟและไปถวายพระเจ้าหลุยส์อีกเป็นครั้งที่สอง แต่คราวนี้ซากของมันเกิดการเน่าเพราะสตั๊ฟไว้ไม่ดี รูปร่างก็เปลี่ยนไปมาก พระเจ้าหลุยส์จึงไปฝังเสีย

เป็นอันไม่รู้เลยว่า มันใช่ สัตว์ร้ายแห่งเชโวดองจริงหรือไม่? อีกทั้งยังมีผู้คนที่สงสัยอีกว่าตัวที่นาย ชอง ชาลเตล ได้ฆ่าไปแล้วนั้นมันใช่เจ้าเชโวดองหรือเปล่า? เพราะจากรูปร่างลักษณะแล้วไม่ตรงกันกับผู้ที่เคยเห็นสัตว์ร้ายนี่มาก่อน พูดง่ายๆ ก็คือ มันต่างกันนั่นเอง

ไม่รู้ว่ามันคือ สัตว์ร้าย ตัวจริงหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เจ้าสัตว์ร้าย ก็ไม่มาอาละวาดให้ผู้คนในเชโวดองอีกแล้ว ตลอดกาล..........

แต่.......................
 
เรื่องนี้ยังไม่จบ แม้เหตุร้ายจะผ่านไปนานนับศตวรรษแล้ว แต่พวกนักคติชาวบ้านศึกษา และนักสัตว์ลึกลับวิทยา ก็ยังศึกษาว่าแท้จริงแล้ว สัตว์ร้าย ตัวนี้มันเป็นตัวอะไรกันแน่ และแล้วข้อสันนิษฐานก็เกิดขึ้นแบบเถียงกันไม่รู้จบ

ตัวอย่าง

ปี 1765 นายเชร์แว ฟรัวซัวมาเญ นักล่าสัตว์แต่ใฝ่ศึกษา ได้รวบรวมข้อมูลและบันทึกไว้ สรุปเองว่า มันน่าจะเป็นไฮยีน่าที่หลุดออกจากสวนสัตว์ของกัตริย์แห่งวาร์ดิเนีย(ภายหลังพบว่าไม่มีสวนสัตว์ที่ว่านั้นที่เชโวดอง)

ปี 1936 อ าเบล เชวายี นักแต่งนิยายที่เคยเอาเรื่องสัตว์ร้ายเชโวดองไปแต่งนิยายโดยให้ซอง ชาลเตล เป็นพระเอก ให้ความเห็นว่ามันน่าจะเป็นไฮยีน่าโบราณ

                เชล เมอร์เก นักคติชาวบ้านวิทยา บอกว่า มันแค่หมาป่าธรรมดา แต่นิสัยแค่เหมือนไฮยีน่าแค่นี้แหละ)

                ปี 1819 ฟรานซ์ ชูเลียง นักสตั๊ฟสัตว์ของพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติออกมาอ้างว่าเขาพบซาก สัตว์ร้ายตัวนั้น และทำการตรวจสอบพบว่ามันคือ ไฮยีนาลาย (แต่ไม่มีรูปมายืนยัน)

นอกจากนิยาย สัตว์ร้ายแห่งชโวดอง นี้ได้กลายเป็นบทละครด้วย ในปี 1809 เนื้อเรื่อง มีอยูว่าเสนาบดีกังฉินแห่งเชแวนสมคบคิดนายพลช่วยอยากหักหลังเจ้านายตน จึงปล่อยสัตว์ร้ายจากแดนไกลที่เชโวดอง เพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจผิด และรุกขึ้นต่อต้านเจ้านายของนายพล   

นอกจากนี้สัตว์ร้ายแห่งเชโวดองจะเป็นอนุสารณ์อีกน่ะครับ (ที่ไหนก็ไม่สิ)

ฯลฯ

แต่ ก็นะครับ หลังจากนั้นเป็นต้นมาข่าวคราวและข่าวลือของเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้ก็ได้เลือน หายไปตามกาลเวลา ทิ้งไว้แต่เรื่องเล่า ที่เป็นตำนานหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ของ เชโวดอง ณ ประเทศฝรั่งเศสและเล่าขานต่อกันมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้